หน้าแรกแกลเลอรี่

อย่าเพิ่งหมดหวัง

มะระหวาน

17 พ.ค. 2567 04:30 น.

ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้จริงๆ สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน หลังจากโชว์ฟอร์มสุดแกร่งบุกไปทุบ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ คารัง 2-0 ทำให้ตอนนี้ “เรือใบสีฟ้า” แซงหน้า “เดอะ กันเนอร์ส” อาร์เซนอล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง

นั่นหมายความว่าในเกมนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก ในวันอาทิตย์นี้ (19 พ.ค.) หากทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ “ขุนค้อน” เวสต์แฮมได้ก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองทันที และถ้า “เรือใบสีฟ้า” ทำได้ก็จะกลายเป็นทีมแรกในประวัติ ศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีที่คว้าแชมป์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

ส่วน “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ก็ยังไม่หมดหวังในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่แค่อาจจะลุ้นมากหน่อยโดยจะต้องเอาชนะเอฟเวอร์ตันให้ได้ ก่อนจะลุ้นให้แมนฯ ซิตี้ สะดุดเสมอหรือแพ้เวสต์แฮม ก็จะทำให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครอง

แม้ว่าหลายฝ่ายมองว่า “เรือใบสีฟ้า” จะคว้าแชมป์มาครองแน่ๆ เพราะดูทรงแล้วน่าจะทุบ เวสต์แฮมได้ไม่ยาก แต่บอกได้เลยว่าบนเวทีพรีเมียร์ลีกอะไรก็เกิดขึ้นได้ต้องรอเสียงนกหวีดจบเกมเท่านั้นถึงจะการันตีการคว้าแชมป์มาครองได้

ที่ต้องกล่าวแบบนี้เพราะมันเคยมีเหตุการณ์ที่คว้าแชมป์วินาทีสุดท้ายมาแล้ว ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้วหรือในฤดูกาล 2011-2012 ในปีดังกล่าว 2 คู่ปรับร่วมเมืองแมนเชสเตอร์อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันมาดุเดือด บี้กันช็อตต่อช็อตจนต้องมาลุ้นกันในเกมนัดสุดท้าย

ในตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ มี 86 คะแนนเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ลูกได้เสียดีกว่าจึงเป็นฝ่ายนำเป็นจ่าฝูง และในเกมนัดสุดท้าย แมนฯ ซิตี้ เล่นในบ้านพบควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปเยือนซันเดอร์แลนด์

ผลปรากฏว่าคู่ของแมนฯ ยูไนเต็ด จบลงไปก่อน “เฟอร์กี้” เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พา “ปิศาจแดง” บุกไปทุบ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 ทำให้เก็บเพิ่มเป็น 89 คะแนนจาก 38 นัด ขยับขึ้นนำเป็นจ่าฝูง และลุ้นให้แมนฯ ซิตี้ แค่เสมอหรือแพ้ก็จะคว้าแชมป์ทันที

ขณะที่แมนฯ ซิตี้ ที่แข่งพร้อมกันแต่จบทีหลังก็กำลังเจอปัญหาเมื่อโดน ควีนส์พาร์ค พลิกล็อกบุกมานำ 2-1 แม้ว่าโรแบร์โต มันชินี กุนซือแมนฯ ซิตี้ ในตอนนั้นจะงัดทุกแผนที่มีอยู่ในมือเพื่อที่จะพลิกเกมให้ได้ แต่ทุกอย่างมันดูไม่เข้าทาง “เรือใบสีฟ้า” เลย

จนเกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 90 แมนฯ ซิตี้ ก็มายิงประตูตีเสมอได้ ส่วนฝั่ง “ปิศาจแดง” ที่จบไปก่อนก็ยังนั่งลุ้นกันอยู่และภาวนาให้เกมจบเร็วที่สุด

แต่เหตุการณ์ที่สาวก “เรือใบสีฟ้า” ต้องการ แต่แฟนบอล “เรด อาร์มี่” ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาจนได้ในนาทีที่ 90 (+2) เมื่อเอดิน เชโก มายิงตีเสมอให้กับแมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ ตามมาเป็น 2-2 และเหลือเวลาช่วงทดเจ็บอีก 1 นาทีเท่านั้น

ทางแมนฯ ซิตี้ ก็ไม่ยอมแพ้จนมาถึงนาทีที่ 90 (+3) สาวก “เรือใบสีฟ้า” จำนวน 47,000 คน ก็ได้เฮกันสนั่นเมื่อเซร์คิโอ อเกวโร กองหน้าทีมชาติอาร์เจนไตน์ หลุดเข้าไปซัดให้ แมนฯ ซิตี้ พลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 3-2 ผงาดคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ และถือว่าเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีของสโมสรในตอนนั้น

การปาดหน้าคว้าแชมป์ครั้งนั้นถูกเรียกได้ว่าเป็นการคว้าแชมป์ที่ “ระทึกใจที่สุด” ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ผ่านมาเลยทีเดียว

บอกได้เลยว่าทุกอย่างพลิกผันได้เสมอทุกวินาที สาวก “เดอะ กันเนอร์ส” อย่าเพิ่งถอดใจไปเพราะยังมีหวัง แม้ว่าจะน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ลุ้นอะไรเลยแบบบางทีม!!

มะระหวาน

คลิกอ่านคอลัมน์ “ตะลุยฟุตบอลโลก” เพิ่มเติม