บี บางปะกง
In Memory Of ‘เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน’
นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และวงการลูกหนังเมืองผู้ดี อย่างแท้จริง!!
กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ ‘ท่านเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน’
อดีตดาวยิงปิศาจแดง และ ทีมชาติอังกฤษ ชุดแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียว เมื่อปี 1966
ที่อำลาโลกนี้ไปอย่างสงบ ในวัย 86 ปี ด้วยอาการป่วย โรคสมองเสื่อม (dementia) ซึ่งถูกตรวจพบมานานตั้งแต่ปลายปี 2020 แล้ว
ทำให้ในช่วง 2 ปีหลังมานี้ เราจึงไม่เห็นเซอร์ บ็อบบี ปรากฏตัวในสนามหรือออกสื่อใดๆ ที่ไหนเลย
จนกระทั่งได้มารู้ถึงข่าวเศร้าเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ก่อนที่ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด จะบุกไปคว้าชัยเหนือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก
สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกแถลงการณ์ ถึงความสูญเสียในครั้งนี้ว่า
“เซอร์ บ็อบบี เป็นฮีโร่ของผู้คนนับล้าน ไม่ใช่แค่ในแมนเชสเตอร์ หรือสหราชอาณาจักร แต่ทุกที่ที่มีฟุตบอลทั่วโลก”
“เขาได้รับการชื่นชมมากในเรื่องน้ำใจนักกีฬาและความซื่อสัตย์พอๆ กับคุณสมบัติที่โดดเด่นของเขาในฐานะนักฟุตบอล”
“เซอร์ บ็อบบี้ จะถูกจดจำในฐานะยักษ์ใหญ่ของเกมตลอดไป”
ในฐานะของแฟนผีแดงพันธุ์แท้ ผมนั่งทบทวนความทรงจำเก่าๆ ของตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมอยู่ที่แปดริ้ว
แล้วเก็บเงินค่าขนมเพื่อซื้อหนังสือฟุตบอล ที่แผงหนังสือเจ้าประจำหน้าโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
หนังสือเล่มโปรด ที่ผมรักและหวงแหนมากที่สุดในตอนนั้น
คือ สตาร์ซอคเกอร์ ฉบับ เอ็กซ์ตรา “แมนฯ ยูไนเต็ด” ซึ่งพิมพ์สี่สี อาบมัน อย่างสวยงามตลอดทั้งเล่ม
เนื้อในบรรจุเรื่องราวของทีมปิศาจแดง ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของการก่อตั้ง
ที่ใช้ชื่อ “นิวตันฮีธ” จนถึงยุครุ่งเรือง และตกต่ำสลับกันไป
และหนังสือเล่มนี้..ก็ทำให้ผมได้รู้จักกับเรื่องราวของยอดกองหน้ากระหม่อมบาง นามว่า “บ็อบบี ชาร์ลตัน”
ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเตะเดนตายเพียงไม่กี่คน ที่รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกในโศกนาฏกรรมมิวนิก
ผู้เล่นและสตาฟฟ์ของปิศาจแดง ยุค Busby Babes ของผู้จัดการ แมตต์ บัสบี้ ต้องสังเวยชีวิตรวม 8 ศพ ซึ่งเมื่อรวมกับผู้สื่อข่าวและลูกเรือก็ทะลุเกิน 10 ศพ
โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเซอร์บ็อบบี อาการสาหัส แต่รอดมาได้ราวปาฏิหารย์ พร้อมกับ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีม
หลังเหตุการณ์เครื่องตกปี 1958 แมนฯ ยูไนเต็ด เสียสูญไปเกือบ 10 ปี
ก่อนที่เซอร์ แมตส์ บัสบี้ จะรวบรวมขุมกำลังที่มีอยู่ ทั้ง บ็อบบี ชาร์ลตัน, เดวิด เฮิร์ด, เดนิส ลอว์, น็อบบี้ สไตล์ส รวมพลังกับแข้งดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เบสต์
พาพลพรรคเรด เดวิล กลับมาคว้าแชมป์ลีก ในฤดูกาล 1964-67 อย่างน่าประทับใจสุดๆ
โดยในปี 1966 บ็อบบี ชาร์ลตัน ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมสิงโตคำราม
ร่วมกับ เจฟฟ์ เฮิร์สต์, บ็อบบี มัวร์, กอร์ดอน แบงค์ส, อลัน บอลล์, จิมมี กรีฟส์, แจ็คกี้ ชาร์ลตัน พี่ชายของเขา ฯลฯ
ช่วยให้ ทัพสิงโตคำราม คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ...บนแผ่นดินตัวเอง
ผมซึมซับเรื่องราวประดุจเทพนิยายของ “บ็อบบี ชาร์ลตัน” ผ่านทุกตัวหนังสือของสตาร์ซอคเกอร์ ฉบับนั้น
พร้อมกับวาดฝันในวัยเด็กว่า ถ้าโตขึ้นมีกะตังค์แล้ว จะบินไปดู แมนฯยูฯ เตะที่โอลด์ แทรฟเฟิร์ด ให้ได้สักครั้งในชีวิตก่อนตาย
และถ้าจะให้ดี อยากขอลายเซ็นถ่ายรูปกับนักเตะยอดขวัญใจ 2 คน คือ กัปตันมาร์เวล ไบรอัน ร็อบสัน
กับ ท่านเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ผู้เป็นตำนาน คนนี้...นี่เอง
ซึ่งก็ต้องขอบคุณโชคชะตาชีวิต ฟ้าลิขิต...ที่ทำให้ตัวเองได้มีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นนักข่าวหัวเขียวสายฟุตบอล ของ “กราวกีฬาไทยรัฐ”
ได้มีโอกาสเดินทางไปรายงานข่าวและสัมภาษณ์นักฟุตบอลดังๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศมากมายนับไม่ถ้วน
ที่ประทับใจและใกล้ชิดที่สุด ก็คือ “ร็อบโบ้” ไบรอัน ร็อบสัน ที่เคยมารับงานกุนซือทีมชาติไทย อยู่ช่วงนึง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
ส่วน เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน เป็นอีกคนนึง ที่ผมเจอบ่อยมาก ทั้งงานในเมืองไทยและเมืองนอก
เพราะแกทำหน้าที่ฑูตของสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องบินไปทั่วโลก
แต่น่าแปลก ที่ไม่สบโอกาสถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกสักครั้ง
กระทั่งในช่วงซัมเมอร์ ปี 2003 ที่ผมได้รับเชิญจาก บ.ไนกี้ ประเทศไทย ให้บินข้ามนำ้ ข้ามทะเล ไปถึงเมืองโอเรกอน สหรัฐอเมริกา
เพื่อไปเชียร์ไอ้หนูนักเตะ “เจ้าสัวน้อย” โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี รุ่น “เจ้าโก้” ศักรินทร์ จันทร์โยธา ร่วมโม่แข้งฟุตบอลไนกี้พรีเมียร์คัพ
ซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่ทีมชุดใหญ่ของ แมนฯยูฯ ที่ตอนนั้นมี “ไนกี้” เป็นสปอนเซอร์ใหญ่
ยกพลไปเก็บตัวฝึกซ้อมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น อยู่ที่อเมริกาพอดี
ที่นั่นผมได้เจอกับ บ็อบบี ชาร์ลตัน ตัวเป็นๆ อีกครั้ง
แต่คราวนี้แกมาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ไม่ได้ใส่สูทอย่างเป็นทางการเหมือนที่เคยเจอครั้งก่อนๆ
คราวนี้กะเหรี่ยงข่าวไทยแลนด์อย่างผม ไม่พลาดที่จะเข้าไปประชิดตัวพร้อมถ่ายรูปขอลายเซ็นอย่างเต็มที่
โดยมีช่างภาพกิตติมศักดิ์ ชื่อ “ไพฑูร ชุติมากรกุล” หรือ “บิ๊กเหม็น”
นายกสมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ช่วยลั่นชัตเตอร์ให้อย่างเนียนๆ
ถ่ายเสร็จผมไหว้ขอบคุณท่านเซอร์ ซึ่งแกอมยิ้มแก้มแดงเรื่อ ตามแบบฉบับคุณลุงใจดี
แล้วบอกว่า “No problem”
ซึ่งนั่นคือรูปถ่ายใบแรก และใบเดียว ที่ผมได้กระทบไหล่อดีตแข้งดังในดวงใจ...ผู้เป็นยิ่งกว่าตำนาน
In Memory Of “เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน”
คุณจะอยู่ในความทรงจำของผม
ตลอดกาล และ ตลอดไป ครับ !!!
- บี บางปะกง -
joggingboy_be@yahoo.com