ไทยรัฐออนไลน์
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล บุกมาแพ้ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ ขาดลอย และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ได้เห็นจากเกมนี้
1.รูปเกม
ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ตได้ดีเลยทีเดียว พยายามครองบอลบุกเข้าใส่เจ้าถิ่น แต่กว่าจะมามีลุ้นประตูแบบจริงๆ จังๆ ก็ต้องรอจนถึงนาทีที่ 26 จากจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน โหม่งต่อให้ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ได้ยิงจ่อๆ แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิล จอมหนึบของเลสเตอร์เซฟออกไปได้ จากนั้นท้ายครึ่งแรกเป็น เลสเตอร์ ที่ขอลุยใส่ทีมเยือนบ้าง นาทีที่ 36 ฮาร์วีย์ บาร์นส์ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษให้ เจมี วาร์ดี โหม่งเน้นๆ แต่ติดเซฟ อลิสสัน เบคเกอร์ และในนาทีที่ 42 เลสเตอร์ เกือบขึ้นนำจากจังหวะที่ เจมี วาร์ดี ซัดไปชนคานดังสนั่น ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0
กลับมาลุยต่อครึ่งหลัง หงส์แดง ยังเริ่มต้นได้ดีเหมือนครึ่งแรก นาทีที่ 56 เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซัดฟรีคิกไปชนคานอย่างจัง จากนั้นนาทีที่ 67 หงส์แดงขึ้นนำ 1-0 เสียที จากจังหวะที่ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ไขว้จ่ายอย่างสวยให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงด้วยซ้ายในเขตโทษเข้าไป และในนาทีที่ 78 เลสเตอร์ ตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะที่ เจมส์ แมดดิสัน ซัดฟรีคิกจากฝั่งซ้ายเข้าไปตุงตาข่าย ไลน์แมนยกธงล้ำหน้า แต่ VAR ให้ประตูกับจิ้งจอกสยาม จากนั้น ลิเวอร์พูล เกมรวนไปดื้อๆ กระทั่งนาทีที่ 81 เลสเตอร์ ขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะความไม่เข้าใจกันของ 2 ผู้เล่นลิเวอร์พูลคือ อลิสสัน เบคเกอร์ กับ โอซาน คาบัค ที่ชนกันเองจนบอลมาเข้าทาง เจมี วาร์ดี ยิงเข้าไป ก่อนที่นาทีที่ 85 วิลเฟร็ด เอ็นดิดี จะจ่ายบอลทะลุไปให้ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ หลุดไปยิงตุงตาข่ายปิดกล่องให้ เลสเตอร์ ชนะ ไป 3-1
2.คาบัคเปิดตัวไม่สวย-ติอาโกฟอร์มแย่
อุตส่าห์ได้ลงสนามประเดิมเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรกสำหรับ โอซาน คาบัค เนื่องจาก ฟาบินโญ มีอาการบาดเจ็บ แต่เจ้าตัวก็ต้องมาเจอกับฝันร้าย ลีกใหม่ๆ บวกกับความเข้มข้นและรวดเร็วของเกมพรีเมียร์ลีก ทำเอาดาวเตะจากตุรกีที่เพิ่งย้ายมาจาก ชาลเก 04 ด้วยสัญญายืมตัว ดูเหมือนว่าจะยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกเยอะเลย นัดนี้เขามีส่วนกับการทำให้ทีมโดนแซงนำ 2-1 จากจังหวะที่สื่อสารกันไม่ดีกับ อลิสสัน เบคเกอร์ ส่วนจังหวะเสียประตูที่ 3 เจ้าตัวก็ตามประกบ เจมี วาร์ดี ได้ไม่ดีพอ จนทำให้โดนดาวเตะชาวอังกฤษกระชากไปยิงตุงตาข่าย
ขณะที่ ติอาโก อัลคันทารา มิดฟิลด์ทีมชาติสเปน ก็เป็นอีกคนที่โดนวิจารณ์อย่างหนักกับฟอร์มการเล่นในนัดนี้ เจ้าตัวถูกส่งลงสนามมาแทน เจมส์ มิลเนอร์ ที่มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่นาทีที่ 16 แต่พอลงมาแล้ว ติอาโก ทำให้การเดินเกมของหงส์แดงช้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขามักจะครองบอลเอาไว้กับตัวนานเกินไปจนทีมเสียจังหวะในการเล่นเกมรุก นอกจากนี้ยังทำเสียบอลบ่อยมากๆ อีกด้วย ด้านเกมรับก็ดูเหมือนว่าทำได้ไม่ดี และพ่ายแพ้ในการเข้าปะทะแย่งบอลอยู่หลายครั้ง บางทีก็อาจจะจริงอย่างที่ ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางหงส์แดงเคยบอกเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า ติอาโก ทำให้เกมการเล่นของหงส์แดงช้าลงไป ไม่ดุดันและรวดเร็วอย่างที่ ลิเวอร์พูล เคยเป็นมาตลอด
3.เลสเตอร์วิ่งสู้ฟัด-จบสกอร์เด็ดขาด
นัดนี้ต้องชื่นชมนักเตะของเลสเตอร์ทุกคนเลยว่าทุ่มเทแบบสุดตัวจริงๆ แม้รู้ว่าจะต้องเจอกับทีมแชมป์เก่า แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็น เล่นกันได้อย่างเหนียวแน่น ช่วยกันวิ่งไล่บี้จนทำให้ หงส์แดง เจาะเข้าไปทำประตูได้อย่างยากลำบาก แถมยังมีจังหวะโต้กลับอันสุดยอดที่คอยขู่ใส่ทีมเยือนเป็นระยะ และแม้ว่าครึ่งหลังพวกเขาจะมาโดนนำไปก่อน 0-1 ในนาทีที่ 67 แต่อีก 11 นาทีต่อมาพวกเขาก็ตีเสมอได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว และเมื่อตีเสมอได้สำเร็จ พวกเขาก็อาศัยบอลยาวเล่นงานลิเวอร์พูล และเป็นโชคดีของพวกเขาด้วยที่ อลิสสัน กับ คาบัค ดันพลาดชนกันเองจนทำให้ วาร์ดี ได้ยิงให้ทีมขึ้นนำ และนับจากวินาทีนั้นนักเตะหงส์แดงก็ดูเหมือนจะเสียความมั่นใจกันไปหมด และเลสเตอร์ก็ใช้โมเมนตัมนี้ในการโจมตีแบบสายฟ้าฟาดจนได้ประตูทิ้งห่าง 3-1 และคว้าชัยไปได้สำเร็จ ซึ่งหลังจบเกม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมจิ้งจอกสยามก็ไม่พลาดที่จะออกมาชื่นชมลูกทีมว่า สู้กันได้ดีสุดๆ ทำงานหนัก และวิ่งกันเยอะมากๆ จนทำให้ได้ 3 แต้มมาครอง
4.ลิเวอร์พูลแทบยกธงขาวลุ้นแชมป์
จากความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล แต้มยังนิ่งอยู่ที่ 40 คะแนน รั้งอันดับ 4 ของตาราง โดยมีแต้มตามหลังจ่าฝูง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ห่างถึง 13 คะแนน แถมหงส์แดงยังแข่งมากกว่าเรือใบสีฟ้า 1 นัดอีกด้วย ซึ่งหลังจบเกม เยอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลก็ยืนยันด้วยตัวเองว่า คงเป็นเรื่องยากที่จะไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ ได้ทัน ซึ่งมันก็คงจะเป็นเช่นนั้น เนื่องจากแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะสะดุดติดๆ กันหลายนัด ดังนั้นเวลานี้ดูแล้วหงส์แดงคงต้องพยายามประคองตัวให้จบท็อปโฟร์ให้ได้น่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด เนื่องจากบรรดาทีมอันดับ 5-6-7-8-9 ก็ไม่ได้มีแต้มที่ห่างจากพวกเขามากมายอะไร คิดไปคิดมาก็ถือเป็นงานหนักของ เยอร์เกน คลอปป์ จริงๆ ว่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาสู่ลูกทีมได้อย่างไร จากความพ่ายแพ้ 3 นัดติดต่อกันแบบนี้.
*PUNABBEY**