หน้าแรกแกลเลอรี่

โหมโรงแดงเดือด เกมตัดสินชะตา "ลิเวอร์พูล" มาถึงแล้ว

ไทยรัฐออนไลน์

17 ม.ค. 2564 06:00 น.

โหมโรงศึกแดงเดือด วัดใจเส้นทางป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “ลิเวอร์พูล” และ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ที่พร้อมโค่นแชมป์เก่าตกบัลลังก์

เกมแดงเดือดนัดที่ 205 ในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะฟาดแข้งกันในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ "ลิเวอร์พูล" เปิดรังแอนฟิลด์ ทำศึกพบอริตลอดกาล "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" โดยทีมเยือนมาในฐานะจ่าฝูง หลังจากใช้โอกาสที่ “หงส์แดง” สะดุด 3 นัดติดแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงจากผลงานชนะในเกมลีก 3 นัดรวด

หลังจบเกมที่ “ปิศาจแดง” บุกไปชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ พาลูกทีมขึ้นไปรั้งจ่าฝูงได้ครั้งแรกในรอบ 4 ปี สร้างความสะใจชนิดถล่มทลายของเหล่าสาวก “เรดเดวิลส์” อย่างยิ่ง เพราะเป็นการแซงทีมแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปชมฟอร์มช่วงเปิดฤดูกาลคงไม่มีใครคิดเลยว่าเหล่าพลพรรค “ปิศาจแดง” จะมาถึงจุดนี้ได้

หากใครยังจำกันได้ในวันที่ โซลชาร์ เข้ามาเป็นกุนซือขัดตาทัพเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2018 เขาพา ยูไนเต็ด ไร้พ่ายอย่างยาวนานถึง 12 นัดติดจนได้สัญญาถาวรก่อนผลงานของทีมจะร่วงลงในท้ายฤดูกาล จนจบที่อันดับ 6 ในฤดูกาล 2018-2019

แต่ในฤดูกาลต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับปัญหาในบอร์ดบริหารจนแฟนบอลต้องออกมาขับไล่กันยกใหญ่ บวกกับผลงานทีมที่สาละวันเตี้ยลง ส่วนของเกมลีกร่วงไปอยู่กลางตาราง แถมบอลถ้วยยังตกรอบรองชนะเลิศทุกรายการอีก อีกทั้งบุคลิกของ โซลชาร์ ที่เป็นคนดูเงียบๆ ติ๋มๆ ต่างกับ เยอร์เกน คลอปป์ ของ ลิเวอร์พูล ที่โหดเหี้ยมและดุดัน จนกลายเป็นที่เปรียบเทียบของกุนซือทั้ง 2 ฝ่าย

แต่ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ในฤดูกาลนั้นทำผลงานได้อย่างท็อปฟอร์มสุดๆ เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้ในรอบ 30 ปีโดยทำแต้มทิ้งคู่แข่งทีมอื่นๆ ชนิดไม่เห็นฝุ่น โดยที่ศึกแดงเดือดในฤดูกาลนั้นเอง เกมแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด จบลงที่ผล 1-1 ก่อนกลับไปเล่นที่แอนฟิลด์ เป็นทาง ลิเวอร์พูล เก็บชัยไป 2-0

ส่วนฤดูกาลปัจจุบันนี้เอง โซลชาร์ ทำเรื่องเซอร์ไพรส์แก่แฟนบอลทีมของตนเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อต้นฤดูกาลทัพ "ปิศาจแดง" ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่จนต้องไปลุ้นหนีตกชั้นอยู่ช่วงหนึ่ง โดยแข่งไป 6 นัดรั้งอันดับ 15 ของตารางมีเพียง 7 คะแนนเท่านั้น พร้อมกับกระแสการปลด โซลชาร์ ออกจากแท่นกุนซือและโละบอร์ดบริหารทีมชุดปัจจุบันออกจากสโมสร เซ่นผลงานที่ย่ำแย่ในลีกพร้อมกับตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทั้งๆที่เคยขึ้นไปนำจ่าฝูงชนิดรอเข้ารอบ 16 ทีมใสๆ แต่สุดท้ายดันมาตกม้าตายจนต้องร่วงมาเล่น ยูโรปา ลีก แทน

แต่ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ หลังจากนัดที่ 7 ของฤดูกาลทัพ "ปิศาจแดง" ก็เครื่องติดชนิดหยุดไม่อยู่ เมื่อพวกเขาไร้พ่ายต่อเนื่อง 11 นัดติด โดยเป็นการเก็บชัยชนะไปถึง 9 เกม พร้อมกับฟอร์มนักเตะอย่าง เอดิสัน คาวานี, บรูโน เฟร์นานเดส และพอล ป็อกบา ที่กำลังขึ้นหม้อสุดขีด พาทีมจากที่หนีตกชั้นค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาเรื่อยๆ จากอันดับ 15 ขึ้นมาเป็นจ่าฝูงทีมล่าสุด จนไม่ทราบว่าตอนนี้คนที่คอยไล่ โซลชาร์ เมื่อต้นฤดูกาลหายไปไหนกันหมดแล้ว

สวนทางกับ ลิเวอร์พูล อย่างชัดเจนเพราะฝั่ง "หงส์แดง" ทำแต้มหลุดกับทีมเล็กๆ ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะเกมเยือนที่เก็บได้เพียง 11 คะแนนเท่านั้นแบ่งเป็นชนะ 2 เสมอ 5 และแพ้อีก 2 ซึ่ง 3 นัดล่าสุดทำหมูหกไปอย่างน่าเหลือเชื่อจากการเสมอทั้ง เวสต์บรอมวิช และ นิวคาสเซิล รวมถึงแพ้ เซาแธมป์ตัน 0-1 พลาดท่าร่วงจ่าฝูง หลังจากเกมที่เปิดบ้านโค่นอดีตจ่าฝูงอย่าง ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไปเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ประกอบกับทั้งปัญหาผู้เล่นที่บาดเจ็บกันระนาวโดยเฉพาะเซ็นเตอร์แบ็กที่บาดเจ็บกันทุกคน จนต้องถอยมิดฟิลด์อย่าง ฟาบินโญ ลงมาเล่นคู่กับดาวรุ่งทั้ง รีส วิลเลี่ยม และ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ แถม 3 ประสานหน้ายังพร้อมใจกันปืนฝืดยิงประตูได้แค่ลูกเดียวจาก 3 เกมที่ผ่านมา พอหันไปมองม้านั่งสำรองก็มี ดิวอค โอริกี ที่ฝากผีฝากไข้ไม่ได้เลย กับ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่โดน เยอร์เกน คลอปป์ จับดองจนเค็ม แต่คู่แข่งของพวกเขาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นักเตะพร้อมใจกันฟอร์มโหดเหี้ยมดุดันไม่พอ ยังมาได้ตัวที่บาดเจ็บทั้งหมดกลับมาอีกทั้ง ลุค ชอว์ และ เอริค ไบญี แม้กระทั่ง ป็อกบา ที่ก่อนหน้านี้จะฟอร์มออกทะเลก็กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งเหมือนกับได้นักเตะคนใหม่เข้าทีม

ด้านนักเตะทางฝั่งเจ้าบ้านที่มีปัญหาเรื่องเซ็นเตอร์แบ็ก ล่าสุดมีรายงานว่า "โจเอล มาติป" กลับมาลงซ้อมกับทีมได้แล้วมีลุ้นลงสนามเป็น 11 ตัวจริง ส่วนผู้เล่นที่หมดสิทธิ์ใช้งานแน่ๆ ก็เป็นหน้าเดิมๆ อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ, ดิโอโก โชตา และ นาบี เกอีตา

ฝั่งผู้มาเยือนเองยังคงต้องเช็กความฟิตของ อ็องโตนี มาร์กซิยาล กับ วิคเตอร์ ลินเดลอฟ แต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนักเพราะนักเตะในทีมตอนนี้กำลังท็อปฟอร์มกันหลายคน ต่างกับทีมเจ้าบ้านที่กองหลังโคม่า กองหน้าสาหัส

อย่างไรก็ตามแฟนผีเองก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เพราะจากสถิติการเจอกันในศึก "แดงเดือด" ที่ผ่านมาในยุคระหว่าง คลอปป์ กับ โซลชาร์ เจอกันทั้งหมด 3 ครั้งเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะไป 2-0 ในเกมล่าสุดที่พบกัน ส่วนอีก 2 ครั้งเสมอที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด 0-0 กับ 1-1 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าทัพ "ปิศาจแดง" ไม่แพ้ออกจากถิ่น "แอนฟิลด์" ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ พวกเขาจะยังนำเป็นจ่าฝูงต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเกมในวันอาทิตย์นี้จึงสำคัญต่อ ลิเวอร์พูล เป็นอย่างมากเพราะถ้าหากพวกเขาเอาชนะในเกมนี้ได้ก็จะสามารถทวงคืนจ่าฝูงกลับมาและโยนความกดดันกลับไปสู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง

หาก ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บชัยชนะจากเกมนี้ได้ก็จะโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ทำแต้มทิ้งห่างไปอีก ยิ่งถ้าแพ้ก็จะทำให้ "ปิศาจแดง" ขึ้นจ่าฝูงเดี่ยวๆ ทันทีถึงแม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเก็บชนะในนัดตกค้างได้หมดเลยก็ตาม แต่ถ้า ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะก็จะทำคะแนนไปเทียบเท่า แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมยึดจ่าฝูงคืนชั่วคราวโดยมีลูกได้เสียที่ดีกว่า แต่ถ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัยชนะโดยแข่งเท่ากันที่ 18 นัดจะโดน "เรือใบสีฟ้า" แซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงโดยทิ้งห่าง 2 คะแนน

ทีนี้มาวิเคราะห์สถานการณ์ของ 2 ทีมนี้กันว่าผลการแข่งขันใน "แดงเดือด" ครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขากันเช่นไรเริ่มจาก ลิเวอร์พูล ที่จะต้องเป็นฝ่ายออกไปเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด บ้างในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 4 ในวันอาทิตย์หน้า ต่อด้วยการเจอศึกหนักอีก 3 เกมที่เป็นเกมเยือนทั้งนั้นอย่าง ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ในวันที่ 28 มกราคม / แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 กุมภาพันธ์ / เลสเตอร์ ซิตี้ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งหมายความว่า ลิเวอร์พูล ต้องเก็บ 3 แต้มในเกมนี้และในเกมเยือน สเปอร์ส ให้ได้เพื่อไปตัดแต้มกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งจะได้ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงเดี่ยวๆ แถมจบจาก แมนฯ ซิตี้ แล้วยังต้องไปเจอทีมแข็งอย่าง เลสเตอร์ ที่ลุ้นอันดับไป ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ขวางทางอยู่

ส่วนสถานการณ์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเพียงแค่เกม เอฟเอ คัพ ที่จะได้เล่นในบ้านเจอ ลิเวอร์พูล และ ออกไปเยือน อาร์เซนอล ในวันที่ 30 มกราคม เท่านั้นที่เป็นเกมใหญ่ ส่วนที่เหลือนอนตีพุงรอเก็บ 3 แต้มได้เลยเพราะจะได้เคี้ยวลูกอมอย่าง ฟูแลม, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งดูแล้วความได้เปรียบน่าจะอยู่ที่ฝั่งของ "ปิศาจแดง" เพราะแค่มาเสมอในถิ่นแอนฟิลด์ได้ก็ยังรั้งจ่าฝูงได้อยู่ อีกทั้งโปรแกรมที่ง่ายกว่า ลิเวอร์พูล พร้อมกับตารางคะแนนและผลงานของทีมที่ดีขึ้น จนไม่ทราบว่าใครจะมาหยุดเขาอยู่ได้

ดังนั้น นี่คือเกมที่จะตัดสินชะตาของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง ถ้ายังหวังถึงการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก เพราะเส้นทางของพวกเขานับจากนี้มันเป็นการวัดหัวจิตหัวใจของพวกเขาเองว่าจะแกร่งพอหรือไม่ เพราะดูทรงแล้วโอกาสที่ทีมเยือนจะมาเล่นแบบตั้งรับแล้วสวนกลับมีสูง

สำหรับ "ศึกแดงเดือด" ครั้งนี้บอกได้เลย ไม่ว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" จะเป็นใครมาจากไหนไม่สนใจ แต่เกมชี้ชะตาของ "ลิเวอร์พูล" มาถึงแล้ว