ไทยรัฐออนไลน์
แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ลิเวอร์พูล” จะสามารถบริหารจัดการซื้อ-ขายนักเตะได้อย่างดีเยี่ยม ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เยอร์เกน คลอปป์” จนปลดล็อกคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี รวมถึงแชมป์อื่นๆ สโมสรโลก (ครั้งแรก), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (สมัย 6), ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (สมัย 4)
แต่ก่อนหน้าที่กุนซือชาวเยอรมันจะเข้ามา “เดอะค็อป” คงสงสัยไม่น้อยกับการซื้อนักเตะเข้ามาของผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น เคนนี ดัลกลิช, รอย ฮอดจ์สัน, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ จะเริ่มก่อนช่วงเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่มีความสำคัญ เพราะแต่ละสโมสรจะได้ปรับจูนนักเตะใหม่ให้เข้ากับนักเตะเก่า อีกทั้งหากซื้อช่วงนี้ก็ได้ราคาที่ไม่แพงมากนักเมื่อเทียบเท่ากับ ตลาดซื้อขายนักเตะช่วงหน้าหนาว เนื่องจากฤดูกาลการแข่งขันเริ่มไปแล้ว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ละทีมคงไม่อยากจะเสียนักเตะไปในช่วงกลางฤดูกาล
นี่คือ 10 อันดับของการซื้อขายนักเตะลิเวอร์พูลในช่วงซัมเมอร์จากแย่ที่สุดไปหาดีที่สุด
อันดับ 10 : ฤดูกาล 2014 - 2015
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
หลังจากที่ “ลิเวอร์พูล” ขาย “หลุยส์ ซัวเรซ” ให้ “บาร์เซโลนา” ในปี 2014 ด้วยราคา 64.98 ล้านปอนด์ แต่เงินที่ได้จากการขายศูนย์หน้าชาวอุรุกวัยกลับใช้ไปอย่างผิดพลาด
ทีมหงส์แดง เสริมแนวรุกดึง มาริโอ บาโลเตลลี จาก เอซี มิลาน กับ ลาซาร์ มาร์โควิช จากเบนฟิกา เข้ามาค่าตัวรวมกันอยู่ที่ 36 ล้านปอนด์ แต่ทั้ง 2 คนทำประตูรวมกันได้เพียง 3 ลูกเท่านั้น (บาโลเตลลี 1, มาร์โควิช 2)
ส่วนแนวรับลิเวอร์พูลแก้ไขด้วยการยืม ฆาเบียร์ มานกีโญ จาก แอตเลติโก มาดริด และซื้อ อัลแบร์โต โมเรโน จาก เซบีญา ซึ่งถือว่าล้มเหลว แต่การที่ได้ เอ็มเร ชาน จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน กับ ดิว็อค โอริกี จาก ลีลล์ ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
นอกจากนั้นทีมหงส์แดงยังชื่นชอบในการซื้อตัวผู้เล่นจากเซาแธมป์ตัน โดยดึง 3 นักเตะ เดยัน ลอฟเรน, อดัม ลัลลานา ซึ่ง 2 คนนี้เพิ่งถูกลิเวอร์พูลปล่อยตัวหลังจบฤดูกาล 2020 ส่วนอีกคน ริคกี้ แลมเบิร์ต ผลงานน่าผิดหวัง ลงสนามไป 25 นัด ยิงไป 2 ประตู ซึ่งค้าแข้งอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น ก่อนย้ายไปเวสต์บรอมวิช อัลเบียน
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 6, ตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และตกรอบ 32 ทีม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
อันดับ 9 : ฤดูกาล 2012 - 2013
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ถือเป็นฤดูกาลแรกของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กับ ลิเวอร์พูล หลังโบกมือลาสวอนซี ซิตี้ ซึ่งก็ไม่ลืมที่จะดึงลูกน้องเก่ามาร่วมงานกันอีกครั้งที่แอนฟิลด์ ทั้ง โจ อัลเลน จาก สวอนซี ซิตี้ กับ ฟาบิโอ บอรินี จาก โรมา
ทาง โจ อัลเลน นั้นอำลาลิเวอร์พูลในปี 2016 ไปอยู่กับ สโต๊ก ซิตี้ แต่ว่าหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเขากับบรรดาเดอะค็อป พังทลายลงไปเมื่อเขาให้สัมภาษณ์ว่า แท้จริงแล้วเขาคือแฟนบอลทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ขณะที่ทาง บอรินี อยู่กับลิเวอร์พูล 2 ฤดูกาล ผลงานน่าผิดหวัง ลงเล่นทุกรายการ 38 นัด ยิงไป 3 ประตูเท่านั้น ส่วนอีก 3 นักเตะที่ดึงเข้ามาในช่วงซัมเมอร์ ประกอบด้วย ยืมตัว นูริ ซาฮิน จาก เรอัล มาดริด, ซื้อตัว อุสซามา อัสไซดี้ จาก ฮีเรนวีน กับ ซาเม็ด เยซิล จากทีมอะคาเดมี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดหน้าหนาว ลิเวอร์พูล ยังดึง 2 นักเตะที่ดูดีมีชีวิตชีวาเข้ามา ทั้ง เดนียล สเตอร์ริดจ์ จากเชลซี กับ ฟิลิปเป คูตินโญ
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 7, ตกรอบ 32 ทีม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
อันดับ 8 : ฤดูกาล 2010 - 2011
รอย ฮอดจ์สัน
ตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์แรกของ รอย ฮอดจ์สัน ที่เข้ามารับงานต่อจาก ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นฤดูกาลแรกและฤดูกาลเดียวของ ปู่รอย เพราะถูกปลดจากตำแหน่งเดือนมกราคม ปี 2011 หลังทำผลงานย่ำแย่ในตอนนั้น ก่อนที่ หงส์แดง จะดึง เคนนี ดัลกลิช เข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งดูจากขุมกำลังนักเตะที่เสริมเข้ามาตอนต้นฤดูกาลก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงถูกปลด
มีเพียง ราอูล ไมเรเลส มิดฟิลด์ชาวโปรตุเกส ที่ย้ายจากเอฟซี ปอร์โต มาด้วยค่าตัว 11.5 ล้านปอนด์ ดูแล้วเข้าตามากสุด เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมา ไมเรเลส ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2010-2011 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ PFA
ส่วนแข้งรายอื่นที่ รอย ฮอดจ์สัน ดึงเข้ามานั้นประกอบด้วย คริสเตียน โพลเซน, พอล คอนเชสกี, แบรด โจนส์, แดนนี วิลสัน, จอนโจ เชลวีย์, มิลาน โยวาโนวิช และโจ โคล
ขณะที่ตลาดซื้อขายนักเตะหน้าหนาว รอย ฮอดจ์สัน นำเงินที่ได้จากการขาย เฟอนานโด ตอร์เรส ให้เชลซี 50 ล้านปอนด์ มาทุ่มเงินซื้อตัว แอนดี คาร์โรลล์ กองหน้าร่างยักษ์ จากนิวคาสเซิล ราคา 35 ล้านปอนด์ ทำสถิติเป็นนักเตะอังกฤษที่ค่าตัวแพงที่สุดของโลกในเวลานั้น กับ หลุยส์ ซัวเรซ จาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมส์ 22.7 ล้านปอนด์
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 6, ตกรอบ 16 ทีม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
อันดับ 7 : ฤดูกาล 2013 - 2014
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
เป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลทำผลงานขยับเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่สุดท้ายต้องผิดหวัง จบฤดูกาลรองแชมป์ มี 84 คะแนน ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแชมป์ ที่ทำได้ 86 คะแนน ถึงแม้ว่าในฤดูกาลนั้น เดอะค็อป จะตื่นเต้นกับ 3 ประสานแนวรุกที่สุดยอด “SSS” ซัวเรซ, สเตอร์ริดจ์, สเตอร์ลิง ยิงรวมกันไปถึง 101 ลูก แต่สิ่งที่แฟนหงส์แดงต้องการมากที่สุดในตอนนั้นคือแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งการชวดแชมป์แบบน่าเจ็บใจยังไม่พอ ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เดอะค็อปไม่มีวันลืมนั่นคือ “การลื่น” ของ “สตีเวน เจอร์ราร์ด” ในเกมพบ เชลซี
ตลาดซื้อขายซัมเมอร์ 2013 - 2014 เป็นครั้งที่ 2 ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กับ ลิเวอร์พูล เน้นไปที่นักเตะเกมรับ ซิมง มินโญเลต์ ผู้รักษาประตูจาก ซันเดอร์แลนด์, โคโล ตูเร จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ติอาโก อิลอรี จาก สปอร์ติง ลิสบอน, มามาดู ซาโก จากปารีส แซงต์ แชร์กแมง, ยืม อาลี ซิสโซโก จาก บาเลนเซีย ขณะที่แนวรุกซื้อ ยาโก อาสปาส จาก เซลตา บีโก, หลุยส์ อัลแบร์โต จาก เซบีญา
กูรูฟุตบอลส่วนใหญ่มองว่า สาเหตุที่ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้เป็นเพราะเกมรับ เพราะเสียประตูไปถึง 50 ลูก มากกว่าทีมอันดับ 3 เชลซี ที่เสียไปเพียง 27 ประตู, ส่วนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสียไป 37 ประตู
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 2
อันดับ 6 : ฤดูกาล 2011 - 2012
เคนนี ดัลกลิช
หลังจากที่ เคนนี ดัลกลิช รับไม้ต่อจาก รอย ฮอดจ์สัน ตลาดซัมเมอร์ก่อนเริ่มฤดูกาล 2011 - 2012 คิงเคนนี ทุ่มเงิน 20 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากในเวลานั้น ซื้อตัว สจ๊วต ดาวนิง มาจากแอสตัน วิลลา ผลงานนั้นสวนทางกับค่าตัวเป็นอย่างมาก เมื่อไม่สามารถทำประตู หรือแอสซิสต์ได้เลยในฤดูกาลแรก
นักเตะรายอื่นที่ ดัลกลิช ดึงเข้ามา โดนี จาก โรมา, ชาร์ลี อดัม จาก แบล็กพูล, โฆเซ เอ็นริเก จาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, เซบาสเตียน โคอาเตส จาก นาซิอองนาล และเคร็ก เบลลามี แต่ไม่ช่วยให้หงส์แดงประสบความสำเร็จได้
ขณะที่นักเตะหนึ่งเดียวจากตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์นี้อยู่มาถึงชุดปัจจุบันนั่นก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมลิเวอร์พูลคนปัจจุบัน มีส่วนสำคัญพาทีมหงส์แดงประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8, แชมป์ลีก คัพ, รองแชมป์เอฟเอ คัพ
อันดับ 5 : ฤดูกาล 2019 - 2020
เยอร์เกน คลอปป์
ก่อนเปิดฤดูกาล เดอะค็อปทั่วโลกต้องเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจ พร้อมตั้งคำถามถึง “เยอร์เกน คลอปป์” ว่า จะไม่ซื้อใครเลยเหรอ? ก็เพราะฤดูกาลก่อนหน้า ลิเวอร์พูล เกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปแค่คะแนนเดียว ดังนั้นฤดูกาลนี้ต้องเสริมทัพเพื่อสู้กับทีมเรือใบ
ย้อนกลับไปช่วงซัมเมอร์ คลอปป์ เลือกที่จะใช้เงินเพียง 1.3 ล้านปอนด์เท่านั้นในการคว้าตัว “เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก” กองหลังดาวรุ่งจาก พีอีซี ซโวลล์ ส่วน “ฮาร์วีย์ เอลเลียต”, “อาเดรียน”, “แอนดี โลเนอร์แกน” ได้มาฟรี แม้จะไม่มีการลงทุนอะไรมากนัก แต่ลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษได้เป็นสมัยแรกในรอบ 30 ปี ภายใต้ทีมที่คลอปป์สร้างมาก่อนหน้าถึง 4 ฤดูกาล นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าแฟนหงส์แดงไม่ควรเรียกร้องอะไรมาก และควรที่จะเชื่อใจ เยอร์เกน คลอปป์
นอกจากนั้นยังเป็นฤดูกาลที่ “เยอร์เกน คลอปป์” ปล่อยนักเตะออกไปเป็นจำนวนมาก โดยค่าตัวที่แพงสุดเป็น “แดนนี อิงส์” กลับเซาแธมป์ตัน 18 ล้านปอนด์, ที่เหลือ แดเนียล สเตอร์ริดจ์, อัลแบร์โต โมเรโน, อดัม บ็อกดาน, คอนเนอร์ แรนดัลล์, ราฟาเอล คามาโช, ซิมง มินโญเลต์, ไรอัน เคนท์, อัลลัน, เปโดร ชิริเบยา, นาธาเนียล ไคลน์
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์, ตกรอบ 16 ทีม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก, คว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, คว้าแชมป์สโมสรโลก
อันดับ 4 : ฤดูกาล 2015 - 2016
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (โดนปลดกลางฤดูกาล 4 ตุลาคม 2015) >> เยอร์เกน คลอปป์ (เริ่ม 8 ตุลาคม 2015)
หลังจากขาย “ราฮีม สเตอร์ลิง” ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 49 ล้านปอนด์ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นำเงินที่ได้มาลงทุนอีกครั้งด้วยการทุ่มเงินซื้อ “คริสติยอง เบนเตเก” จากแอสตัน วิลลา 32.5 ล้านปอนด์ แต่ฟอร์มนั้นฝืดสุดๆ เช่นเดียวกับการซื้อ “แดนนี อิงส์” จาก เบิร์นลีย์, นาธาเนียล ไคลน์ จากเซาแธมป์ตัน แต่ต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ขณะที่ อดัม บ็อกดาน ผู้รักษาประตู จากโบลตัน ก็เป็นเพียงสำรองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การซื้อ โรแบร์โต ฟีร์มิโน จาก ฮอฟเฟนไฮม์, โจ โกเมซ จาก ชาร์ลตัน พร้อมดึง เจมส์ มิลเนอร์ จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาฟรี เป็นการวางรากฐานทางอ้อมให้ เยอร์เกน คลอปป์ ที่เข้ามาคุมทีมต่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ถูกปลดจากตำแหน่ง
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8, รองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
อันดับ 3 : ฤดูกาล 2016 - 2017
เยอร์เกน คลอปป์
เยอร์เกน คลอปป์ ได้คุมทีมเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรก ก่อนเปิดซีซั่นกุนซือชาวเยอรมันเริ่มสร้างทีมในสไตล์ของเขา ด้วยการซื้อนักเตะมา 6 คน
ซาดิโอ มาเน จาก เซาแธมป์ตัน 34 ล้านปอนด์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม จาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 23 ล้านปอนด์ รวมทั้ง 4 นักเตะจากบุนเดสลีกา เยอรมัน ลอริส คาริอุส จาก ไมนซ์05, โจเอล มาติป จาก ชาลเก04, รักนาร์ คลาวาน กับ อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ จาก เอาก์สบวร์ก
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 4
อันดับ 2 : ฤดูกาล 2018 - 2019
เยอร์เกน คลอปป์
หลังจากแพ้ เรอัล มาดริด 1-3 ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2018 ทีมหงส์แดงใช้เงินครั้งใหญ่เพราะมองเห็นตำแหน่งที่เป็นปัญหา นั่นคือ “ผู้รักษาประตู” คลอปป์ทุ่มเงิน 66.8 ล้านปอนด์ ซื้อตัว อลิสสัน เบคเกอร์ มาจาก โรมา ตามด้วย ฟาบินโญ, นาบี เกอิตา เสริมแดนกลาง และเซอดาน ชาคิรี แต่ยังมีส่วนร่วมไม่มากกับลิเวอร์พูลใน 2 ฤดูกาลหลังสุด
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 2, คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
อันดับ 1 : ฤดูกาล 2017 - 2018
เยอร์เกน คลอปป์
ตลาดซื้อขายฤดูร้อนปี 2017 เป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงภายใต้การคุมทีมของ “เยอร์เกน คลอปป์”
ลิเวอร์พูล ใช้เงิน 36.9 ล้านปอนด์ คว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาจากโรมา แต่ดูเหมือนค่าตัวที่จ่ายไปจะดูน้อยขึ้นมาทันที เมื่อเทียบกับฟอร์มของปีกชาวอียิปต์ ลงเล่นไป 153 นัด ยิงไป 94 ประตู (อัปเดต วันที่ 10 กันยายน 2563)
แบ็กซ้ายที่เป็นปัญหา คลอปป์ ดึง แอนดี โรเบิร์ตสัน จากฮัลล์ ซิตี้ ที่ตกชั้น ด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ ก่อนจะกลายเป็นแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของโลก
นอกจากนั้นยังเซ็นสัญญากับ อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน จาก อาร์เซนอล 35 ล้านปอนด์
ส่วนตลาดหน้าหนาวถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลบินสูงอยู่ในเวลานี้ เมื่อดึง “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” มากจากเซาแธมป์ตัน
สรุปแล้วผลงานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล จบอันดับ 4, รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก.
ผู้เขียน : ต้อม บางบอน
กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong