หน้าแรกแกลเลอรี่

"โอซิล" ยันไม่หนีอาร์เซนอลก่อนหมดสัญญา โวยโดนดองอยู่คนเดียว

ไทยรัฐออนไลน์

13 ส.ค. 2563 19:19 น.

เมซุต โอซิล ยืนยันว่ายังรักอาร์เซนอล และพร้อมอยู่แย่งตำแหน่งตัวจริงกลับคืนมาจนกว่าจะหมดสัญญา ก่อนโวยว่ามีหลายคนที่ปฏิเสธสโมสรเรื่องการลดค่าจ้าง แต่กลับมีแค่เขาที่ถูกดองในช่วงท้ายฤดูกาล

วันที่ 13 ส.ค. 63  เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์อดีตทีมชาติเยอรมนี เปิดใจกับ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชั้นนำของอังกฤษถึงสถานการณ์ในทีมอาร์เซนอล ซึ่งเขาแทบไม่ได้ลงเล่นตลอดฤดูกาล 2019-2020 โดยมีโอกาสลงสนามในพรีเมียร์ลีก 10 นัดในช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด

แต่หลังจากที่ฟุตบอลหยุดพักการแข่งขันไปตั้งแต่เดือนมีนาคม แล้วกลับมารีสตาร์ตกันต่อในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ดาวเตะวัย 31 ปี ก็ไม่ได้ลงสนามอีกเลยตลอดทั้ง 13 นัดที่ "ปืนใหญ่" ลงเล่นในทุกรายการ ซึ่ง มิเกล อาร์เตตา กุนซือชาวสเปนชี้แจงเพียงสั้นๆ ว่า "เป็นเหตุผลเกี่ยวกับฟุตบอลล้วนๆ"

ทำให้ โอซิล ที่เหลือสัญญาถึงวันที่ 30 มิถุนายน ปีหน้า ตกเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องว่าหมดอนาคตในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม แล้ว  ซึ่งล่าสุดก็มีรายงานว่า อาร์เซนอล เตรียมจ่ายเงินชดเชยเพื่อยกเลิกสัญญาและลดภาระของสโมสรที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้กับเขาสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ (14.35 ล้านบาท)

โอซิล ให้สัมภาษณ์ว่า "แม้หลายสิ่งหลายอย่างจะดูยากลำบาก แต่ผมยังรักอาร์เซนอลอยู่ ถ้าผมจะย้ายทีมผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่คนอื่นที่จะตัดสินใจแทนผม ผมจะทุ่มเททุกสิ่งที่ผมมีอยู่เพื่อสโมสรแห่งนี้ และสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยทำอะไรผมได้หรอก มีแต่จะทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาผมก็เคยพิสูจน์ว่าผมสามารถกลับคืนสู่ทีมได้ และครั้งนี้ผมจะทำให้เห็นอีกครั้ง"

ส่วนกรณีที่เขาไม่ยอมลดค่าจ้างลงในช่วงวิกฤติโควิด-19 ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ตอบตกลงที่จะลดค่าเหนื่อย 12.5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ "ปืนใหญ่" ยังมีการประกาศแผนเลิกจ้างพนักงานของสโมสรอีก 55 คน อันเนื่องมาจากปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน โอซิล ก็บอกว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกจับดองยาว

แม้มิดฟิลด์ผู้มีเชื้อสายตุรกีจะบอกว่ายอมรับการตัดสินใจของ อาร์เตตา ที่ตัดเขาออกจากทีมในช่วงรีสตาร์ต แต่เขาคิดว่าควรได้รับโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถช่วยทีมในสนามได้อย่างไรบ้าง โดยกล่าวว่า "ตามปกติแล้ว คุณจะไม่ได้ลงเล่น 10 นัดติดต่อกัน ถ้าคุณไม่ฟิตสมบูรณ์, ยังทำผลงานได้ดีไม่พอ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งผมก็ไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวในทีมที่ปฏิเสธนโยบายลดค่าจ้าง แต่กลับมีแค่ชื่อผมที่ถูกตัดออก"