ไทยรัฐออนไลน์
แม้ลิเวอร์พูล จะการันตีแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-2020 ไปแล้ว แต่หลังจากที่ฉลองความสำเร็จจากการได้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีแค่ไม่นาน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็มาปลุกให้ตื่นจากฝัน
สกอร์ 4-0 ที่ เอติฮัด สเตเดียม เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกที่ย่อยยับมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ "หงส์แดง" ในยุคกุนซือ เยอร์เกน คลอปป์ ซึ่งการปราชัยที่หลุดลุ่ยที่สุดก็เป็นการบุกมาแพ้ "เรือใบสีฟ้า" ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถึง 0-5 ที่สนามแห่งเดียวกันนี้ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2017
ผลที่ออกมาอาจดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล ถูกต้อนจนหมดสภาพ แต่เมื่อดูจากสถิติ "หงส์แดง" ก็ไม่ได้แย่กว่า แมนฯ ซิตี้ และยังดีกว่าด้วยซ้ำในเรื่องของเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ทำได้ 53 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการผ่านบอลที่ทำได้ 520 ครั้ง (แมนฯ ซิตี้ 484 ครั้ง) ผ่านบอลสำเร็จ 445 ครั้ง คิดเป็น 86 เปอร์เซ็นต์ (แมนฯ ซิตี้ สำเร็จ 408 ครั้ง คิดเป็น 84 เปอร์เซ็นต์) และยังตัดบอลได้มากกว่าที่ 15 ครั้ง (แมนฯ ซิตี้ 8 ครั้ง)
หลังจบเกม คลอปป์ ยังให้สัมภาษณ์ว่า เขายังเห็นทัศนคติที่ดีเยี่ยมของลูกทีมอยู่ ซึ่งสถิติข้างต้นคงพอจะสะท้อนถึงคำพูดของกุนซือชาวเยอรมันได้บ้าง แต่ในเมื่อฟุตบอลตัดสินกันที่ประตู ต่อให้คุณครองบอลมากกว่าแค่ไหน แต่ถ้าส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายไม่ได้ ทุกอย่างก็จบ
ผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ครองบอลน้อยกว่า (47 เปอร์เซ็นต์) แต่ได้โอกาสยิงถึง 14 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ติดบล็อก 2 ครั้ง (ลิเวอร์พูล ยิง 11 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง ติดบล็อก 6 ครั้ง) ซึ่งตัวเลขเหล่านี้พอจะบ่งบอกได้ว่า เกมรุกของ "เรือใบสีฟ้า" มีประสิทธิภาพดีกว่า และสามารถสร้างโอกาสลุ้นทำประตูแบบจะแจ้งได้มากกว่า
เมื่อดูจากสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าในเกมจะพบว่า "จุดแตกต่าง" ของทั้งสองทีม อยู่ที่การตัดสินใจในพื้นที่สุดท้าย ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ ทำได้ดีกว่าชัดเจน โดยทั้ง 4 ประตูเกิดขึ้นจากการชิงเหลี่ยมในการเล่น ซึ่ง 2 ลูกแรกต้องยกความดีความชอบให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ตั้งใจมาเล่นงาน โจ โกเมซ โดยเฉพาะ ทั้งการฝืนตัวพาบอลมุดเข้าไป เพื่อล่อให้ โกเมซ ดึงล้มก่อนได้จุดโทษในประตู 1-0 จากนั้นก็หลอก โกเมซ จนหัวทิ่มแล้วยิงเข้าไปในลูก 2-0
ส่วนลูก 3-0 ต้องชมความยอดเยี่ยมของ ฟิล โฟเดน ที่แสดงให้เห็นว่าคู่ควรกับการเป็นทายาทของ ดาบิด ซิลบา ที่เตรียมอำลาทีมหลังจบฤดูกาล โดยเจ้าหนูวัย 20 ปี ชิงจังหวะออกบอลแล้วสลัดหนี แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่พยายามเข้ามาบีบจนกลายเป็นเข้าพรวด รวมถึง เควิน เดอ บรอยน์ ที่ชิ่งบอลให้ทันทีจนหลุดจากการประกบของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำให้ โฟเดน หลุดเข้าไปจบสกอร์แบบเนียนกริบ
ขณะที่ลูก 4-0 ก็มาจากการจู่โจมเร็วในเกมสวนกลับ ก่อนที่ สเตอร์ลิง จะหลอก โรเบิร์ตสัน จนหลังหักแบบเดียวกับที่ โกเมซ โดนในครึ่งแรก แล้วยิงอัดเข้าไปก่อนเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
ซึ่งผู้เล่นของ "หงส์แดง" ที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดในเกมนี้ คือ โจ โกเมซ ที่เจอ สเตอร์ลิง เล่นงานจนเสียผู้เสียคน ก่อนโดนเปลี่ยนออกตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง แต่หลังจากนั้น ฟาบินโญ ที่ถูกถอยลงมายืนเซนเตอร์แทนก็มีสภาพไม่ต่างกัน ส่วนอีกคน คือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายที่นอกจากจะโดน โฟเดน เผาวอดก่อนเสียประตูที่ 3 แล้ว ยังหลุดตำแหน่งบ่อยครั้งจนถูก แกรี เนวิลล์ คอมเมนต์ว่า เล่นเหมือนคนเมามาทั้งสัปดาห์
จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นความพ่ายแพ้แค่นัดเดียว แต่มันก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่างที่เป็นการบ้านให้ เยอร์เกน คลอปป์ และลูกทีมต้องกลับไปทบทวนว่า ต้องทำอย่างไรบ้างในการ "จู่โจมเพื่อเป็นแชมป์ต่อไป" ตามที่กุนซือชาวเยอรมันให้สัมภาษณ์ไว้ ก่อนเกมที่โดน "เรือใบสีฟ้า" สอนบทเรียนชุดใหญ่
แม้ คลอปป์ จะบอกว่าฤดูกาลหน้าอาจมี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี รวมถึงทีมอื่นๆ ที่พร้อมยกระดับตัวเองขึ้นมาท้าทายบัลลังก์แชมป์ แต่หากทีมเหล่านี้ยืนระยะไม่ได้ การลุ้นแชมป์อาจเป็นการขับเคี่ยวของ 2 ทีมหน้าเดิมอย่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ และเมื่อถึงโปรแกรมที่ทั้งคู่ต้องมาเจอกัน ก็อาจเป็นเกมชี้ชะตาแชมป์แบบกลายๆ อีกครั้ง
แต่ถ้าให้เทียบกันจริงๆ ณ เวลานี้ ต้องยอมรับว่าสภาพทีมโดยรวมของ "เรือใบสีฟ้า" ดีกว่า "หงส์แดง" แม้ 11 คนแรกจะมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน ผลแพ้-ชนะ อาจตัดสินกันได้ด้วยแท็กติกและการชิงไหวชิงพริบในเกม แต่เมื่อถึงเวลาแก้เกมแล้ว เป๊ป มีอาวุธที่ครบมือให้เลือกใช้มากกว่า คลอปป์
ย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนตัวในเกมล่าสุด เป๊ป ถอดเอา กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง, เอเมอริก ลาปอร์กต์ และไคล์ วอล์คเกอร์ ออก แล้วส่ง ริยาด มาห์เรซ, แบร์นาร์โด ซิลวา, นิโคลัส โอตาเมนดี กับ เจา คันเซโล ลงไปแทน จะเห็นว่าคุณภาพระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองแทบไม่แตกต่างกัน
ส่วน คลอปป์ ที่เปลี่ยน โรแบร์โต ฟีร์มิโน, ซาดิโอ มาเน, จอร์จินโย ไวจ์นัลดุม, โจ โกเมซ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมี ดิว็อค โอริกี, ทาคุมิ มินามิโนะ, นาบี เกอิตา, อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กับ เนโก วิลเลียมส์ เป็นตัวทดแทน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณภาพยังห่างกับตัวจริงพอสมควร โดยเฉพาะกองหน้าอย่าง โอริกี ที่ลงไปแทน ฟีร์มิโน แทบทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลย
จริงอยู่ที่ คลอปป์ เคยบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องโดดเข้าสู่ตลาดนักเตะในทุกๆ รอบที่เปิดทำการ แต่ถ้าหากเขายังอยาก "จู่โจมเพื่อเป็นแชมป์ต่อไป" ตามที่ลั่นวาจาไว้ บางทีการใช้เงินแก้ปัญหาอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งหากยึดเอาเกมที่แพ้ แมนฯ ซิตี้ เป็นบรรทัดฐาน จุดที่ คลอปป์ ควรแก้ไขมากที่สุดน่าจะมีอยู่ 2 จุด
จุดแรก คือ กองหลังตัวกลาง แม้ ฟาน ไดค์ จะเคยบอกว่า โจ โกเมซ คือคู่หูที่ลงตัวที่สุดสำหรับเขา แต่หากต้องเจอกองหน้าที่เร็ว คล่อง และฉลาดเป็นกรดแบบ สเตอร์ลิง ใครจะกล้ารับประกันว่า "น้องโจ" จะทำให้ "พี่ไดค์" อุ่นใจได้ แม้จะยังมี โฌแอล มาติป เป็นอีกตัวเลือก แต่เมื่อถึงเวลาจริงหากมีใครเจ็บไปสักคนเหมือนตอนนี้ที่ มาติป เจ็บอยู่ ก็คงต้องเตรียมการหาแผนรับมือให้ดี ส่วน เดยัน ลอฟเรน ถ้ายังไม่ย้ายก็เป็นได้แค่ตัวเลือกที่ 4 เท่านั้น
อีกจุด คือ ตัวรุกที่มีคุณภาพมากพอ แต่ก็พร้อมเป็นตัวเลือกต่อจาก 3 ประสาน ซาลาห์, มาเน และ ฟีร์มิโน ได้ด้วย ซึ่งจุดนี้อาจเป็นความจำเป็นที่เร่งด่วนและเป็นโจทย์ยากกว่าข้อแรก เพราะการจะหานักเตะฝีเท้าดีที่อดทนกับการโรเตชันได้ ใช่ว่าจะเจอง่ายๆ ตามท้องตลาดทั่วไป แต่หากมีวันที่คู่แข่งจับทางเกมรุก "หงส์แดง" ได้ หรือมีใครที่เล่นผิดฟอร์มแบบเดียวกับที่ มาเน ทำให้เห็นในนัดล่าสุด ก็ต้องมีไพ่ตายให้ คลอปป์ พลิกสถานการณ์บ้าง
แต่ตอนนี้ทั้ง โอริกี และ มินามิโนะ ยังไม่อยู่ในระดับที่เปลี่ยนลงไปแล้วสร้างความแตกต่างได้ ครั้นจะฝากความหวังกับดาวรุ่งอย่าง ริอาน บรูว์สเตอร์ ก็คงเป็นภาระที่หนักอึ้งเกินไป อย่างไรก็ตาม หาก ลิเวอร์พูล ยังหวังยืนระยะในการเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์อย่างต่อเนื่องในทุกฤดูกาล
เหล่า "เดอะ ค็อป" คงต้องร้องเพลงนี้อยู่ในใจ แล้วภาวนาว่า "คลอปป์ ต้องทำ...ทำอะไรสักอย่างแล้ว"