หน้าแรกแกลเลอรี่

"โอบา" เก็บส้ม 2 ลูก ปืนใหญ่ใส่นอริชไม่ยั้ง 4-0 ขึ้นที่ 7 ชั่วคราว

ไทยรัฐออนไลน์

2 ก.ค. 2563 01:54 น.

อาร์เซนอล ระเบิดฟอร์มฮอต เปิดบ้านไล่ต้อนเอาชนะ นอริช ซิตี้ ไปแบบไม่ยั้ง 4-0 โดย ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง เหมา 2 ลูก พร้อมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 7 ชั่วคราวในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

วันที่ 1 ก.ค. 63 ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-2020 นัดที่ 32 "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล อันดับ 10 ของตาราง เล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม ต้อนรับ "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช ซิตี้ ทีมอันดับสุดท้าย

โดยเจ้าถิ่นพัก บูกาโย ซากา ปีกดาวรุ่งวัย 18 ปีที่เพิ่งต่อสัญญาระยะยาวกับทีมไว้เป็นตัวสำรอง พร้อมปรับแผนมาเล่นระบบ 3-4-3 โดยให้ เซอัด โคลาซินัช ลงมายืนเซนเตอร์ฮาล์ฟ 3 คนร่วมกับ ชโคดราน มุสตาฟี และ ดาวิด ลุยซ์ ส่วน ดานี เซบายอส ซูเปอร์ซับจากเกมเอฟเอ คัพ ที่บุกไปชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด พาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ ได้รางวัลด้วยการออกสตาร์ตเป็นตัวจริง

ส่วนทีมเยือนที่เพิ่งตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกเอฟเอ คัพ จากการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 ในเวลา 120 นาที ยังคงให้ อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์ มิดฟิลด์ตัวรับถอยลงไปยืนปราการหลังตัวกลางอีกครั้ง ขณะที่แนวรุกนำโดย ท็อดด์ แคนท์เวลล์ และ เตมู ปุกกิ

นาทีที่ 10 "ปืนใหญ่" มีลุ้นได้ประตูออกนำก่อน โดย ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง ได้บอลในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเลี้ยงตัดเข้ามาแล้วยิงไปที่เสาไกล แต่ ทิม ครูล ยังล้มตัวปัดเอาไว้ได้

จากนั้นเจ้าถิ่นก็บุกกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่ "นกขมิ้น" ที่ตั้งรับอย่างอดทนก็หาจังหวะตอบโต้จนเกือบได้ประตูพลิกขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 20 จากการเติมขึ้นมายิงไกลเต็มข้อจากระยะ 35 หลาของ เบน ก็อดฟรีย์ แต่บอลพุ่งชนเสาเหลี่ยมนอกออกหลังไปนิดเดียว

โอบาเมยอง บีบแย่งบอลจาก ครูล เข้าไปยิงเบิกร่อง 1-0

หลังจากบุกมาพักใหญ่แต่ยังเจาะไม่เข้า อาร์เซนอล ก็มาได้ส้มหล่นในนาทีที่ 33 เมื่อ เบน ก็อดฟรีย์ จ่ายคืนหลังให้ ทิม ครูล แต่หาเพื่อนที่จะออกบอลให้ไม่เจอ ครูล จึงพยายามล็อกหลบ โอบาเมยอง แต่ไม่ผ่าน ทำให้ดาวยิงทีมชาติกาบองฉกไปแปโล่งๆ ให้ "เดอะ กันเนอร์ส" ออกนำก่อน 1-0

นาทีที่ 37 "ปืนใหญ่" ที่กำลังได้ใจขึ้นเกมบุกมาทางซ้าย โอบาเมยอง ไหลเข้าในเขตโทษให้ กรานิต ชากา สอดเข้ามายิงจังหวะแรกผ่านมือ ครูล เข้าไป สกอร์ไหลเป็น 2-0

ช่วงทดเจ็บครึ่งแรก นอริช ได้ฟรีคิก เคนนี แม็คลีน บรรจงปั่นด้วยซ้าย บอลกำลังจะเสียบคาน แต่ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ บินมาปัดออกหลังได้อย่างหวุดหวิด จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล ยังนำอยู่ 2-0

มุสตาฟี ปะทะกับ แคนท์เวลล์ แบบถึงลูกถึงคน

ครึ่งหลัง ดาเนียล ฟาร์เก กุนซือนอริช แก้เกมด้วยการเปลี่ยนตัวรวดเดียว 3 คน ส่ง โยซิป เดอร์มิช, โอเนล เอร์นานเดซ และ อดัม ไอดาห์ ลงมาแทน เตมู ปุกกิ, เอมิเลียโน บูเอนเดีย และ ทอม ทรัยบูลล์ ขณะที่ มิเกล อาร์เตตา เฮดโค้ชอาร์เซนอล ก็เปลี่ยน 1 คน เอา ร็อบ โฮลดิง ลงมาคุมหลังบ้านแทน ชโคดราน มุสตาฟี

รูปเกมของ "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" ดูวูบวาบขึ้นมา แต่ยังเจาะเอาประตูคืนไม่ได้ กระทั่งนาทีที่ 67 "ปืนใหญ่" อาศัยการบีบสูง ทำให้ผู้เล่นนอริชจ่ายบอลเข้ากลางพลาด ถูก โอบาเมยอง ที่จ้องอยู่แล้วเก็บส้มหล่นเข้าไปยิงล่อเป้าให้ อาร์เซนอล ทิ้งห่างออกไปเป็น 3-0 และเป็นประตูที่ 19 ในลีกซีซั่นนี้ ขึ้นมาเป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วมกับ เจมี วาร์ดี ของ เลสเตอร์ ซิตี้ แล้ว

นาทีที่ 81 จากลูกเตะมุมของเจ้าถิ่น บอลทะลักมาเข้าทาง เซดริก ซัวเรส แบ็กขวาตัวสำรองที่เพิ่งลงมาแทน เอคตอร์ เบเยริน ได้แค่ 4 นาที เก็บบอลหน้าเขตโทษแล้วแต่งเข้าซ้ายก่อนซัดฝ่าตัวบล็อก บอลพุ่งเสียบมุมเข้าไปอย่างเด็ดขาดเป็น 4-0 และเป็นประตูแรกของ เซดริก ในเกมประเดิมสนามให้กับ "ปืนใหญ่" นับตั้งแต่ย้ายมาจาก เซาแธมป์ตัน เมื่อเดือนมกราคม แต่เพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บ

ครบ 90 นาที อาร์เซนอล ปิดเกมเอาชนะไป 4-0 เก็บเพิ่มเป็น 46 คะแนน แซง สเปอร์ส ที่จะไปเยือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ขึ้นมาอยู่อันดับ 7 ชั่วคราว ห่างจากพื้นที่ไปยูโรปาลีก รอบคัดเลือก เหลือเพียง 6 คะแนน ส่วน นอริช ยังรั้งอันดับสุดท้ายต่อไป มี 21 คะแนน ใกล้ตกชั้นกลับสู่ เดอะ แชมเปียนชิพ เข้าไปทุกขณะ

รายชื่อผู้เล่น 11 คนแรกของทั้งสองทีม

อาร์เซนอล (3-4-3) : เอมิเลียโน มาร์ติเนซ (ผู้รักษาประตู), ชโคดราน มุสตาฟี, ดาวิด ลุยซ์, เซอัด โคลาซินัช, เอคตอร์ เบเยริน, ดานี เซบายอส, กรานิต ชากา, คีแรน เทียร์นีย์, รีสส์ เนลสัน, อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์, ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง

นอริช ซิตี้ (4-1-4-1) : ทิม ครูล (ผู้รักษาประตู), แม็กซ์ อารอนส์, เบน ก็อดฟรีย์, อเล็กซานเดอร์ เท็ตเทย์, จามาล ลูอิส, ทอม ทรัยบูลล์, เอมิเลียโน บูเอนเดีย, ลูคัส รุปป์, เคนนี แม็คลีน, ท็อดด์ แคนท์เวลล์, เตมู ปุกกิ

ผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563

บอร์นมัธ 1-4 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

อาร์เซนอล 4-0 นอริช ซิตี้

เอฟเวอร์ตัน 2-1 เลสเตอร์ ซิตี้

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-2 เชลซี