หน้าแรกแกลเลอรี่

ย้อนชุดแข่งแรร์ไอเทม "ลิเวอร์พูล" ในรอบ 30 ปี ที่แฟนหงส์ต้องมี

ไทยรัฐออนไลน์

30 มิ.ย. 2563 17:14 น.

“ชุดแข่งขัน” เปรียบเสมือนตัวแทนของสโมสร ที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณกับแฟนฟุตบอล มีคุณค่าทางจิตใจ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม แฟนฟุตบอลแต่ละทีมจึงเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลไว้มากมาย

ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หนแรกในรอบ 30 ปี หากคุณเป็นแฟนหงส์แดงพันธุ์แท้ ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีชุดแข่งในฤดูกาลปัจจุบัน (2019-2020) รวมถึงชุดแข่งในฤดูกาลก่อนหน้านี้ ที่มีความหมายมากพอที่ควรเก็บไว้

1. ชุดแข่งฤดูกาล 1989-1991 เป็นชุดแข่งขันที่ลิเวอร์พูล ใส่ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย ในฤดูกาล 1989-1990 (ดิวิชั่น 1 เดิม) ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก ซึ่งแชมป์ลีกสูงสุดเป็นถ้วยที่แฟนหงส์แดงปรารถนา อยากให้สโมสรคว้ามาให้ได้ที่สุดในเวลานี้ 

2. ชุดแข่งฤดูกาล 1992-1993 เป็นชุดแข่งขันครบ 100 ปี ของสโมสร นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1892 ความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกทีมในอังกฤษ

3. ชุดแข่งฤดูกาล 2000-2002 เป็นชุดแข่งที่ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์บอลถ้วย 3 รายการ ในฤดูกาล 2000-2001 ประกอบด้วย ลีกคัพ, เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า คัพ (ยูโรปาลีก)

ผลงานในนัดชิงชนะเลิศ

ลีกคัพ (25 กุมภาพันธ์ 2001) // ดวลจุดโทษชนะเบอร์มิงแฮม 5-4

เอฟเอคัพ (12 พฤษภาคม 2001) // พลิกแซงชนะ อาร์เซนอล 2-1

ยูฟ่า คัพ (16 พฤษภาคม 2001) // ชนะโกลเด้นโกล อลาเบส 5-4

4. ชุดแข่งฤดูกาล 2004-2006 เป็นชุดแข่งที่ยอดขายไม่สูงมากในช่วงแรก แต่พอมีเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลเกิดขึ้น ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อ ลิเวอร์พูล พลิกสถานการณ์จากที่ครึ่งแรก ตามหลังเอซี มิลาน 0-3 มายิงไล่ตีเสมอ 3-3 ในครึ่งหลัง โดยใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น

จนสุดท้าย ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษชนะเอซี มิลาน 3-2 คว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 5 เชื่อได้ว่ายอดขายก็สูงขึ้น เพราะทุกวันนี้แฟนหงส์แดงบางคน ยังตามหาเสื้อในแมตช์นี้อยู่เลย

5. ชุดแข่งในฤดูกาล 2010-12 ถือเป็นยูนิฟอร์มของซีซั่นแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง โดยชุดแข่งดีไซน์นี้คือครั้งสุดท้ายที่มีใช้ถึง 2 ฤดูกาล ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชุดแข่งใหม่ในทุกๆ ซีซั่นหลังจากนั้น รวมถึงยังเป็นปีสุดท้ายที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ "อาดิดาส" ก่อนเปลี่ยนใช้แบรนด์สัญชาติอเมริกันอย่าง "วอริเออร์" 

นอกจากนี้ ยังเป็นอีกครั้งที่มีการเปลี่ยนสปอนเซอร์คาดหน้าอก จาก Carlsberg เบียร์ยี่ห้อดังของเดนมาร์ก มาเป็น Standard Chartered ธนาคารชื่อดังของอังกฤษ

6. ชุดแข่งฤดูกาล 2015-2016 เป็นชุดแข่งที่นักเตะในดวงใจของลิเวอร์พูลลงเล่นเป็นฤดูกาลสุดท้าย นั่นคือ “สตีเวน เจอร์ราร์ด” กัปตันแฟนตาสติกของเหล่าสาวก เดอะ ค็อป ซึ่งฝากสถิติอันยอดเยี่ยวเอาไว้มากมาย

สถิติที่น่าสนใจของ "สตีเวน เจอร์ราร์ด"

ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสโมสร / 710 นัด

ทำประตูให้ลิเวอร์พูลมากสุดเป็นอันดับ 5 สโมสร / 186 ประตู

ทำประตูสูงสุดของสโมสร ในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรป / 41 ประตู

ทำประตูจากจุดโทษสูงสุดของสโมสร / 47 ประตู

ดังนั้นแฟนหงส์แดง จึงไม่ควรพลาดที่จะซื้อเก็บไว้ที่ระลึก พร้อมสกรีนชื่อ Steven Gerrard และเบอร์ 8 ไว้เป็นที่ระลึกด้วย


7. ชุดแข่งปี 2017-2018 เป็นชุดแข่งที่สโมสรลิเวอร์พูล ฉลองครบรอบ 125 ปี เนื่องจากได้มีการออกแบบตราสโมสรพิเศษ เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 125 ปีของสโมสร

สำหรับความพิเศษของชุดนี้คือ การดีไซน์ได้แรงบันดาลใจมาจากในยุคปี 80 ซึ่ง “หงส์แดง” ครองความยิ่งใหญ่ทั่วเกาะอังกฤษ ขณะที่โลโก้เป็นแบบปักพิเศษ มีตราสัญลักษณ์ 1892-2017 ซึ่งบ่งบอกการครบรอบ 125 ปี

8. ชุดแข่งฤดูกาล 2018-2019 เป็นชุดแข่งที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 6 หลังเอาชนะ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ไปได้ 2-0 ลบความผิดหวังจากนัดชิงชนะเลิศฤดูกาลก่อน (2017-2018) ที่ทัพหงส์แดงแพ้ต่อ เรอัล มาดริด 1-3

อีกทั้งเป็นฤดูกาลที่เกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกด้วย แต่สุดท้ายทำได้เพียงรองแชมป์ ที่มีคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก 97 คะแนน ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เบียดเข้าป้ายคว้าแชมป์ ไปด้วยคะแนนที่มากกว่าเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น

9. ชุดแข่งฤดูกาล 2019-20 ดูเผินๆ อาจจะไม่มีความพิเศษอะไร ในแง่ของการผลิต รูปแบบการตัดเย็บ หรือดีไซน์การออกแบบ แต่ในเมื่อทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ทศวรรษ แฟนหงส์ก็ไม่ควรพลาดที่จะเก็บยูนิฟอร์มสีแดงอันน่าภาคภูมิใจในดูกาลนี้ เอาไว้ดูต่างหน้าด้วย เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำที่ดี พร้อมทั้งบอกเล่าประวัติศาสตร์ไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง