หน้าแรกแกลเลอรี่

"เรือใบ" ล่าแชมป์ 5 ปีติด "หงส์-ปืน-ผี" ผนึกกำลังขวาง

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

11 ส.ค. 2567 05:09 น.

ศึกลูกหนังการกุศล “คอมมูนิตี้ชิลด์ 2024” ฟาดแข้งกันไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสั่นระฆัง การเปิดฉากฤดูกาลใหม่ของลีกลูกหนังที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเป็นทางการ

สำหรับในซีซันนี้อาจจะดูยังไม่คึกคักเท่าไรเพราะมี 2 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่มาคั่นไม่ว่าจะเป็น “ยูโร 2024” ที่จบไปกลางเดือนกรกฎาคม เช่นเดียวกับ โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ฟุตบอลชาย เพิ่งเสร็จสิ้นไปหมาดๆ

เท่านั้นยังไม่พอการซื้อขายตลาดนักเตะของพรีเมียร์ลีก ในปีนี้มันไม่ได้เข้มข้นและคึกคักเหมือนในทุกๆครั้ง เนื่องจากมีความกังวลที่จะทำผิดกฎการเงินที่ทางลีกกำหนดเอาไว้ จนอาจจะส่งผลถึงการโดนตัดแต้มตามมา

พรีเมียร์ลีกได้กำหนดกฎการทำกำไรและความยั่งยืน Profit and SustainabilityRules หรือ (PSR) ขึ้นมา โดยกฎนี้มีไว้เพื่อให้การบริหารจัดการสถานะทางการเงินของสโมสรให้มั่นคงเพื่อจะได้อยู่อย่างยั่งยืน หรือเรียกง่ายๆว่าไม่ให้บรรดาสโมสรต่างๆทุ่มซื้อนักเตะหรือจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะแบบไม่ลืมหูลืมตา จนสุดท้ายไม่สามารถแบกรับได้ไหวจนเป็นหนี้ก้อนโตจนทีมถังแตกจนล้ม

โดยกฎพีเอสอาร์นั้นระบุว่า สโมสรได้รับอนุญาตให้มีตัวเลขขาดทุนได้สูงสุด 105 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,811 ล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ซึ่งหากตรวจสอบแล้วว่าทีมไหนขาดทุนเกินกว่ากำหนดก็จะโดนลงดาบตัดแต้มทันที และที่โดนไปแล้วก็คือเอฟเวอร์ตันที่โดน 8 แต้ม และนอตติงแฮม ฟอเรสต์ ถูกตัด 4 คะแนน ส่วน “จิ้งจอกสยาม”เลสเตอร์ ซิตี้ ก็โดนตั้งข้อหาไปแล้วเช่นกัน

จากการลงดาบที่ตัดแต้มสถานเดียวเท่านั้นทำเอาบรรดาทีมระดับบิ๊กเนมหรือบรรดาทีมต่างๆ ก็ต้องวางแผนกันใช้เงินให้ดี เพราะถ้าขาดทุนเกินกว่ากำหนดแล้วมีโอกาสสูงที่จะโดนลงโทษ จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาตลาดซื้อขายนักเตะค่อนข้างเงียบเหงา แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากสตาร์ชั้นนำที่มีอยู่ในลีกก็จะทำให้ลีกสนุกขึ้นเหมือนเดิม

สำหรับพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-2025 จะเปิดฉากขึ้นสุดสัปดาห์หน้า โดยโปรแกรมสัปดาห์แรกมีดังนี้ วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม แมนฯ ยูไนเต็ด พบฟูแลม, วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม อิปสวิช ทาวน์พบ ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอลพบวูล์ฟแฮมป์ตัน, เอฟเวอร์ตัน พบไบรท์ตัน, นิวคาสเซิลพบเซาแธมป์ตัน, นอตติงแฮม ฟอเรสต์พบบอร์นมัธ, เวสต์แฮมพบแอสตัน วิลลา, วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม เบรนท์ฟอร์ดพบคริสตัล พาเลซ, เชลซีพบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และวันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม เลสเตอร์พบทอตแนม ฮอตสเปอร์

ด้านตัวเต็งแชมป์ในปีนี้ก็คงไม่พ้น “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน แม้ว่าเป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่ชาวกระทิงจะไม่ได้เสริมทัพอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร แต่ขุมกำลังในการไล่ล่าแชมป์ก็อยู่กันครบไม่ว่าจะเป็นเควิน เดอ บรอยน์ กัปตันทีม, เออร์ลิง ฮาแลนด์, แจ็ก กรีลิช, แบร์นาร์โด ซิลวา, โรดรี, เฌเรมี โดกู, ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส ที่อยู่กันครบ แม้ว่าจะมีข่าวว่าฮูเลียน อัลวาเรซ กับ เอแดร์สัน อาจจะย้ายแต่ก็ไม่ส่งผลจากฟอร์มและผลงานของทั้งหมดรวมถึงมันสมองของเป๊ปแล้วมีโอกาสสูงที่ “เรือใบสีฟ้า” จะคว้าแชมป์ 5 สมัยติดต่อกันได้

ส่วนผู้ท้าชิงของแมนฯ ซิตี้ นั้นก็ยังเป็นหน้าเดิมๆ อย่าง “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล รองแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 หนล่าสุด และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 3 ของตาราง ที่จะรับหน้าที่จะผนึกกำลังเพื่อหยุด “เรือใบสีฟ้า” ไม่ให้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้

ขณะที่ม้ามืดต้องยกให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ว่าจะโดนหลายฝ่ายค่อนขอดว่าคงไม่มีลุ้นแชมป์ แต่เอริค เทน ฮาก กุนซือชาวดัตช์แสดงให้เห็นในเกมเอฟเอ คัพ แล้วว่าถ้าพวกเขามีผู้เล่นครบไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน “ปิศาจแดง” ก็พร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์เช่นเดียวกัน

ส่วนอีกทีมที่ควรจับตามองก็คือ “สิงห์บลู” เชลซี แม้ว่าจะเพิ่งเปลี่ยนเทรนเนอร์มาเป็นเอ็นโซ มาเรสกา นายใหญ่คนใหม่ชาวอิตาเลียน แต่ขุมกำลังโดยรวมทั้งเก่าและทั้งมาใหม่ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน แต่อยู่ที่ว่าจะปรับทีมเข้าที่เข้าทางได้ไวขนาดไหน เพราะซีซันที่แล้วกว่า เมาริซิโอ โปเชตติโน อดีตกุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะทำเข้าที่เข้าทางก็เลยครึ่งฤดูกาลไปแล้ว

แต่ทีมอย่าง “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์, “สาลิกา” นิวคาสเซิล รวมถึง “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ที่คว้าอันดับ 4 มาได้ในซีซันที่ผ่านมา ก็อาจจะทำเซอร์ไพรส์วนเวียนอยู่หัวตารางได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในซีซันนี้เชื่อว่าบรรดาทีมที่ไล่ล่าแชมป์หรือทีมที่มีลุ้นไม่ว่าจะเป็น “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล, “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รวมถึง “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะรวมพลังกันเพื่อที่จะหยุด “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ให้ก้าวไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ติดต่อกัน

เพราะถ้าหากซีซันนี้ยังไม่สามารถหยุดได้ ก็เตรียมนับแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 6, 7 ติดต่อกันของ “เรือใบสีฟ้า” ต่อไปหลังจากนี้ได้เลย!

ชานนท์ กล่ำดิษฐ์ เรื่อง

คลิกอ่านคอลัมน์ “Hotsport” เพิ่มเติม