ไทยรัฐออนไลน์
"ขุนพลอัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี จากความชอกช้ำชวดลุย "ฟุตบอลโลก 2018" รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย สู่แชมป์ "ฟุตบอลยูโร 2020" บนเกาะอังกฤษ
จุดเริ่มต้นของความชอกช้ำที่ถือว่าเป็นรอยด่างพร้อยครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของ "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัยในปี 1934, 1938, 1982, 2006 และแชมป์ฟุตบอลยูโร 1 สมัยในปี 1968 นั่นคือทีมไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียได้แบบช็อกโลก
เหตุการณ์ในตอนนั้นจากการนำทีมของ จาน ปิเอโร เวนตูรา ที่พา "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี เข้าป้ายเพียงแค่อันดับ 2 ในรอบคัดเลือก จึงทำให้หล่นไปเล่นรอบเพลย์ออฟ ด้วยการพบกับ "แข้งไวกิ้ง" ทีมชาติสวีเดน ซึ่งก่อนเกม จาน ปิเอโร เวนตูรา ประกาศกร้าวด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถพาทีมเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้อย่างแน่นอน
ทว่าผลลัพธ์ที่ทาง จาน ปิเอโร เวนตูรา บอกไว้กลับตรงกันข้ามเมื่อ ซึ่งนัดแรก "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี บุกไปพ่ายแพ้มาก่อน 0-1 จากประตูชัยของ ยาค็อบ โยฮันส์สัน จากผลการแข่งขันดังกล่าวนั่นทำให้นัดสองที่พวกเขากลับมาเล่นในบ้านต้องยิงถึง 2 ประตูเพื่อพลิกสถานการณ์เข้ารอบสุดท้าย
อย่างไรก็ตามเกมในนัดที่สองด้วยรูปเกมที่กดดันบวกกับความรัดกุมของ "แข้งไวกิ้ง" ทีมชาติสวีเดน จนทำให้เวลาเดินครบ 90 นาที สกอร์จบลงที่ 0-0 สกอร์รวม 2 นัด 1-0 เป็นอันว่า ทีมของ ยานเน แอนเดอร์สสัน สามารถหักปากกาเซียนฝ่าด่านส่ง "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี ตกรอบคัดเลือกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1958 คาสนาม ซาน ชีโร เมืองมิลาน คล้อยหลังไม่นานนักเตะหลายคนรวมถึง จิอันลุยจิ บุฟฟอน ประกาศอำลาทีมชาติ เช่นเดียวกับ จาน ปิเอโร เวนตูรา ตกเก้าอี้ไปตามระเบียบ
หลังจากนั้น โรแบร์โต มันชินี เข้ามารับไม้ต่อพร้อมปรับทีมใหม่จากสไตล์รับเหนียวแบบดั้งเดิมอย่างเดียวกลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบทั้งรับและรุกจนทำผลงานในศึก ฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือก ด้วยสถิติคว้าชัยชนะ 10 นัดรวด พร้อมกับยิงได้ถึง 37 ประตู ซึ่งเหมือนการประกาศกลายๆ ว่าพวกเขากลับมาแล้ว
รอบแบ่งกลุ่ม "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี มีทีมอยู่ร่วมสายกับ ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์, ทีมชาติตุรกี และทีมชาติเวลส์ ซึ่งผลปรากฏว่าพวกเอาชนะได้ทั้งหมดแบบไม่เสียประตู ขณะที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เอาชนะ ทีมชาติออสเตรีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ถัดมา รอบ 8 ทีมสุดท้ายชนะ ทีมชาติเบลเยียม 2-1 จากนั้นรอบรองชนะเลิศชนะการดวลจุดโทษ ทีมชาติสเปน 4-2 หลังเสมอกัน 1-1
ขณะที่ในนัดชิงชนะเลิศ พบกับเจ้าของสนามอย่าง ทีมชาติอังกฤษ ทีมของ โรแบร์โต มันชินี ก็สามารถเอาชนการดวลจุดโทษไปได้ 3-2 หลังจากที่เสมอกัน 1-1 ส่งผลให้คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นสมัยที่ 2 ของรายการนี้และครั้งแรกในรอบ คว้าแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 53 ปี เลยทีเดียว และเดินหน้าสร้างสถิติไม่แพ้ทีมไหนติดต่อกันมากที่สุดตลอดกาลด้วยจำนวน 36 นัดอีกด้วย
แม้นี่คือผลงานที่ยิ่งสุดๆ ของ พลพรรค "อัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี แต่ทว่าพวกเขาอาจต้องเสียววาบๆ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะพลาดไปเล่น ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อพวกเขาหล่นลงไปเล่นในรอบเพลย์ออฟอีกแล้ว ในสายซี โดยนัดแรกจะพบกับ ทีมชาติมาซิโดเนีย ถ้าคว้าชัยชนะได้จะไปเจอผู้ชนะระหว่าง ทีมชาติโปรตุเกส กับ ทีมชาติตุรกี
สำหรับการแข่งขันในรอบเพลย์ออฟ โซนยุโรป เพื่อหา 3 ทีมไปเล่นในศึก ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ จะเริ่มฟาดแข้งรอบแรกวันที่ 24 มีนาคม ส่วนรอบที่สองจะแข่งขันกันในวันที่ 29 มีนาคม 2565 ซึ่งแข่งขันจะเป็นแบบนัดเดียวรู้ผลทั้ง 2 รอบ