บี บางปะกง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “แม่ติ๋ม” สุนทรีย์ ธรรมสัจจานันท์ คุณแม่ของ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ยอดนายทวารทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันค้าถุงมืออยู่ในยุโรปกับสโมสรโอเอชลูเวิน ในจูปิแลร์ โปรลีก ลีกสูงสุดของเบลเยียม
โทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผม ประสาคนคุ้นเคยที่สนิทชิดเชื้อกันประดุจญาติมิตรมานมนานร่วม 20 ปี ตั้งแต่สมัยที่ “เจ้าตอง” ยังเป็นเด็กน้อยที่เข้ามาคัดตัวเป็นทีมเยาวชนไทย อายุ 11 ปี ไปลุยศึกไซตามะคัพ ที่ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งทีมชุดนั้นมี “จูเนียร์” วัชร วัชรพล บิ๊กบอสใหญ่ไทยรัฐทีวี ที่ยังเป็นคนหนุ่มรุ่นกระทง ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม และมี “พี่เบ” ธนา ทุมมานนท์ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กคอยดูแลไอ้หนูนักเตะรุ่นจิ๋ว (ที่สุด) เท่าที่สมาคมลูกหนังไทยเคยมีมา
บรรยากาศเก็บตัวทีมชาติซึ่งเก็บตัวกินอยู่หลับนอนกันที่แคมป์หนองจอกในยุคนั้น มันเลยดูวุ่นวาย คล้ายโรงเรียนประถม ที่คนเป็นครูต้องคอยไล่ต้อนนักเรียนประดุจ “จับปูใส่กระด้ง” ก็ไม่ปาน
นั่นจึงทำให้ผมได้เจอ “แม่ติ๋ม” ที่คอยหอบหิ้วตะกร้าใส่เสบียง ขนมนมเนย ของกินสารพัด มาเผื่อแผ่น้องๆ นักบอล และผู้ปกครองคนอื่นๆ รวมทั้งนักข่าวสายบอลอย่างผมก็พลอยได้อานิสงส์ลาภปากไปกับเขาด้วย เลยกลายเป็นความผูกพันที่ยาวนานจนมาถึงทุกวันนี้
ซึ่งแน่นอนผมไม่ลืมที่จะอัปเดตเรื่องราวข่าวคราวของ “ตอง” กวินทร์ น้องรัก ว่าเวลานี้ใช้ชีวิตในเบลเยียมเป็นอย่างไรกันบ้าง หลังจากที่บอลลีกของที่นั่นปิดฤดูกาลลงไปแล้ว
โดย “แม่ติ๋ม” เล่าให้ฟังว่า “ตอง” เพิ่งตัดสินใจที่จะไม่บินกลับมาพักผ่อนที่เมืองไทยแล้ว เพราะห่วงเรื่องของสถานการณ์โควิดในบ้านเราที่ดูยังไม่น่าไว้วางใจ
ดังนั้นเขาจึงยกเลิกแพลนทุกอย่าง และจะอยู่ยาวที่เบลเยียม รอจนกว่าสโมสรจะเรียกเข้าแคมป์ฝึกซ้อมเตรียมทีมปรีซีซั่นต่อในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ไปเลย
ตอง ก็ยังคงเป็น ตอง คนเดิมที่มีวินัยขยันฝึกซ้อม ฟิตร่างกายตัวเองอยู่ตลอดไม่เคยขาด ซึ่งจุดนี้เป็นที่ชื่นชมของสตาฟฟ์โค้ชและเพื่อนร่วมทีมทุกคน ตลอดจนสื่อมวลชนท้องถิ่นที่เคยเขียนสกู๊ปยกย่องว่าเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นพยายามมากที่สุด แม้จะมีสถานะเป็นนายทวารสำรองของสโมสร แต่ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง
“แม่ติ๋ม” บอกว่า ลูกชายดูมีความสุข และมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมเยอะ ต่างจากตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่นอย่างกับคนละคน
แม้ว่าการรีเทิร์นกลับมาเบลเยียมรอบนี้โจทย์ทุกอย่างจะยากขึ้นเยอะ เพราะ โอเอช ลูเวิน กลายเป็นทีมในลีกสูงสุดไปแล้ว ดังนั้นเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนจึงมีมาตรฐานที่สูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้การแข่งขันกันภายในทีมต้องหนักหน่วงมากขึ้นเป็นธรรมดา
แต่สำหรับ “ตอง” เขากลับรู้สึกแฮปปี้กับบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งดูเป็นมืออาชีพมากกว่าเมื่อครั้งที่อยู่กับ ซัปโปโร ที่อนาคตของเขาแทบไม่มีความชัดเจนเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะพยายามซ้อมหนักแค่ไหน ก็ไม่เคยได้รับโอกาสจากคนเป็นกุนซือเลย
ต่างจากทุกวันนี้ที่ได้รับความไว้วางใจจาก มาร์ค บรีส์ กุนซือใหญ่โอเอช ลูเวิน ที่วางให้เขาเป็นนายประตูมือ 2 ต่อจาก ราฟาเอล โรโม นายทวารทีมชาติเวเนซุเอลา ที่ยึดตำแหน่งตัวจริงมาตลอด
ซึ่ง “ตอง” เข้าใจดีว่าตัวเองต้องทำงานหนักต่อไป เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้ได้เมื่อได้รับโอกาส เพราะตำแหน่งผู้รักษาประตูแตกต่างจากผู้เล่นอื่นในสนาม ตรงที่ลงเล่นเป็นตัวจริงได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนนักเตะที่สลับตำแหน่งทดแทนกันได้ตลอดเวลา ดังนั้นคนที่เก่งกว่า และพร้อมกว่าเท่านั้นจึงจะถูกเลือกให้ยืนเฝ้าเสาเป็น “มือ 1”
หลายปีที่ผ่านมา แม้บางอย่างในชีวิตจะดูไม่ค่อยเป็นใจ แต่ “แม่ติ๋ม” เชื่อว่าลูกชายสุดที่รักไม่เคยเสียใจที่เลือกเดินตามฝันในการโบยบินไปค้าแข้งในต่างแดน ซึ่งทำให้เขาพานพบประสบการณ์หลากหลาย ทั้งสุข เศร้า สมหวัง ผิดหวัง ยากจะบรรยายความรู้สึก
ถ้ายังอยู่บ้านเรา ป่านนี้ “ตอง” ก็น่าจะยังคงเป็น “เบอร์ 1” ของสโมสร เป็น “เบอร์ 1” ของทีมชาติ ชนิดยากที่คนอื่นจะมาแย่งพื้นที่ไปได้ง่ายๆ
แต่ ณ วันนี้ นักสู้ที่ชื่อ “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์” เลือกแล้วที่จะเดินออกจาก Save Zone เพื่อเผชิญความเป็นจริงในโลกกว้าง อย่างลูกผู้ชาย
ใครจะมองว่านี่คือความล้มเหลว หรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ “เจ้าตอง” หรืออย่างไรก็สุดแท้แต่
สำหรับผมแล้ว กลับมองว่า นี่คือ ‘วิถีนักฟุตบอลอาชีพ’ ที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุด
เท่าที่ แข้งไทยแลนด์ สักคนหนึ่ง พึงจะมี!!!
บี บางปะกง