หน้าแรกแกลเลอรี่

แมตช์ผีบอก "ONE MAN CLUB"

ป๋อง กพล

5 ก.ย. 2563 05:01 น.


ทุกยุคทุกสมัย เราจะเห็นข่าวนักเตะย้ายทีมไปทีมนั้นไปทีมนี้อยู่ตลอดเวลา บางคนย้ายเพราะอยากหาความท้าทายใหม่ บางคนย้ายเพราะทีมไม่ต้องการ บางคนย้ายเพราะเรื่องของตัวเงิน ก็แล้วแต่เหตุผลมากมายที่มันจะทำให้เกิดขึ้น จนทำให้ยุคสมัยนี้ เราก็เลยจะได้เห็นนักเตะที่เติบโตมากับสโมสรที่ปั้นเค้ามา ดูแลเทคแคร์เค้ามา อยู่รอดจนถึงวันสุดท้ายของอาชีพการค้าแข้ง

การเป็นนักเตะที่ได้ชื่อว่า “One Man Club” หรือนักเตะที่เล่นกับสโมสรเดียวจนวันสุดท้าย ผมบอกเลยว่า มันยิ่งใหญ่มากๆ นะครับ ยิ่งใหญ่เสียจนผมคนหนึ่งล่ะ ถ้าผมได้เล่นฟุตบอลกับสโมสรที่ผมรัก สโมสรที่ผมเชียร์ หรือสโมสรไหนที่ให้โอกาสในการเป็นนักเตะให้กับผม ผมจะอยู่กับสโมสรแห่งนั้นจนถึงวันสุดท้าย

แต่ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ เรื่องราวแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และเรียกได้ว่าโอกาสแทบจะเป็นศูนย์ แต่ทว่ายังมี มนุษย์อยู่คนหนึ่งที่เค้ากำลังจะทำได้ และผมมองว่าน่าจะเป็นมนุษย์คนสุดท้ายของโลกฟุตบอลในยุคนี้ ที่ยังยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้

แต่ทว่า มันก็มีเรื่องราวที่ทำให้เค้าผู้นี้ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆ คนอยากให้เป็น เพราะในเมื่อมนุษย์ ธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีรัก โลภ โกรธ หลง มีความคิด มีความรู้สึก และเมื่อสิ่งเหล่านั้นมันเกิดและก่อตัวขึ้น ความคิดจากที่เคยมี ความคิดจากที่เคยอยากเป็น มันก็ทำให้ใจคนเรานั้นเปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ประเด็นทั้งหมดนี้ ที่ผมกล่าวมาตั้งแต่ต้น ผมอยากจะพูดถึงบุรุษคนหนึ่ง บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นโคตรของนักเตะ บุรุษที่ได้ชื่อว่า เกิดมาจากพระเจ้า บุรุษที่หลายคนมองว่า เค้าไม่มีวันที่จะย้ายทีมไปที่ไหนแน่นอน และหลายๆ คนถึงขนาดมั่นใจว่า เค้าเกิดที่นี่ เค้าก็ต้องตายที่นี่ และทว่า เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน เชื่ออะไร ใจหนอใจคน (เพลงพี่ป้อมก็ลอยขึ้นมาทันที) คนเรามีพบ ก็มีจาก อารมณ์มันก็คงจะเป็นเช่นนั้น

เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวของชายที่กำลังจะได้ขึ้นชื่อว่า One Man Club ผู้นี้ ก็กระพือเป็นข่าวร้อนของโลกฟุตบอล ว่ามันถึงเวลาแล้วที่เค้าควรจะไปจากบ้านหลังนี้เสียที บ้านที่ทำให้คนรู้จักตัวเค้า บ้านที่เคยทำให้เค้ายิ่งใหญ่ บ้านที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

ลิโอเนล เมสซี ชายผู้ที่เราไม่เคยรู้สึกได้เลยว่า เค้าจะไปไหนได้ ในเมื่อชีวิตนี้ เค้าอุทิศชีวิตและขายวิญญาณให้กับ บาร์เซโลนา แต่หลังจากที่ทีมมีการเปลี่ยนแปลง และแต่งตั้งครูปรีชาเข้ามาคุมทีม เอ๊ย!!! ไม่ใช่ครูปรีชาสิ โรนัลด์ คูมัน ต่างหาก ก็หลังจากที่อดีตนายใหญ่กังหันสีส้มเข้ามารับตำแหน่ง เหตุการณ์นี้มันก็เกิดขึ้นมาทันที

จากที่ตามข่าวกันมา เราก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ผมก็คงจะไม่ย้อนกลับไปเล่าถึงจุดตรงนั้นนะครับ แต่ประเด็นที่ผมสงสัยและคาดเดาเอาเองตามความรู้สึก ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็อาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป แต่ในมุมของผม มันน่าจะเริ่มจากสิ่งที่มันสะสมมายาวนาน กับเรื่องราวปัญหาภายในทีมที่มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ทีมได้ขาย คู่หูตีนระเบิดอย่าง เนย์มาร์ ออกจากทีมไป สิ่งนั้นน่าจะเป็นรอยร้าวแรกที่มันสะกิดหัวใจของเค้าคนนี้

และดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็กลายเป็นเหมือนภัยเงียบที่ก่อตัวขึ้นมา และเมื่อทุกอย่างมันสะสมเข้ามาเรื่อยๆ และเมื่อวันหนึ่งมันถึงวันที่มันปะทุขึ้นมา อะไรๆ ก็ห้ามมันไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งจุดนี้ยังไม่มีใครทราบได้ว่าแท้จริงแค่ไหน แต่บอกได้เลยว่า ผมตกใจนะครับ

เพราะผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ เลยว่า จะมีสโมสรไหนในโลกใบนี้ ที่เหมาะสมไปกว่าบาร์เซโลนา ต้นสังกัดของเค้าได้อีกแล้ว การเติบโตมาจาก ลามาเซีย ที่พอแปลเป็นภาษาไทยนั้นหมายความว่า “โรงนา” ศูนย์ฝึกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกแห่งนี้ จนวันหนึ่งได้ก้าวออกจากโรงนา มาสู่ผืนหญ้าที่นักเตะแทบทั้งโลก หมายมั่นว่าถ้าเค้าได้มีโอกาส เค้าอยากจะสวมเครื่องแบบของทีมนี้สักครั้งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งเค้าก็ก้าวขึ้นมาได้ และต่อมาจากเด็กจากโรงนา กลายเป็นราชันแห่งคัมป์นู เค้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของสโมสร เป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล แล้วทำไมอยู่ดีๆ เค้าถึงอยากจะไปจากทีมที่ดีที่สุดแบบนี้

คำตอบทุกอย่างคงอยู่ที่เค้าคนเดียวล่ะครับว่าเป็นเพราะอะไร ตราบใดที่ยังไม่มีใครได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของเค้า เราก็ไม่อาจรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่ผมบอกตามตรงเลยนะครับ ผมอยากเห็นเค้าเล่นให้บาร์เซโลนา จนถึงวันสุดท้ายของการค้าแข้ง อยากเห็นเค้าเป็นตำนาน อยากเห็นเค้าเป็น “One Man Club” คนสุดท้ายของโลกฟุตบอลใบนี้ เพราะผมเชื่อเลยว่า หลังจากนี้ไป เราคงไม่ได้เห็น One Man Club อีกแล้วนั่นเอง