มะระหวาน
กลายเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อสำหรับศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในรอบรองชนะเลิศไม่มีทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลงเหลือเข้ารอบมาเลยสักทีม เดียวและเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ที่ปราศจากตัวแทนจากลีกผู้ดีในรอบตัดเชือก
หลังจากเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า พ่ายจุดโทษ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ไป 3-4 หลังจากรวมผลสองนัดเสมอกันไป 4-4 ส่วน “เดอะ กันเนอร์ส” อาร์เซนอล สกอร์รวมสองนัดพ่ายแพ้ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก ไป 2-3 กอดคอกันร่วงตกรอบไป
จากการที่ไม่มีทีมจากอังกฤษหลุดรอด
มาถึงในรอบตัดเชือกในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รวมถึงศึกยูโรปา ลีก ที่ก็ไม่มีทีมจากพรีเมียร์ลีก เข้ารอบตัดเชือกด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล และเวสต์แฮม ที่ร่วงรอบ 8 ทีมไป ส่งผลให้ทีมจาก อังกฤษ อดได้โควตาไปลุยศึกแชมเปียนส์ลีกเป็น 5 ทีม เป็นที่เรียบร้อย
ก่อนหน้านี้ พรีเมียร์ลีกกำลังมีลุ้นโควตาไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เพิ่มอีก 1 ทีม หรือทีมที่ 5 หลังจากมีค่าสัมประสิทธิ์รั้งอันดับ 2 ของ ยุโรป โดยมีอิตาลีเป็นอันดับ 1 และเยอรมนี ตามมา เป็นอันดับ 3 โดย 2 ทีม ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ในเกม ยุโรปดีที่สุดจะได้รับโควตาเพิ่มเป็น 5 ทีม
แต่หลังจากจบรอบ 8 ทีม เสร็จสิ้นผลปรากฏว่า ตอนนี้ อันดับ 1 เป็นอิตาลี มี 19.428 คะแนน โดยเหลืออีก 3 ทีมที่ยังอยู่ในเกมยุโรป โรมา (ยูโรปา ลีก), อตาลันตา (ยูโรปา ลีก) และฟิออเรนตินา (ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก) ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ เยอรมนี มี 17.928 คะแนน เหลืออีก 3 ทีม ที่ยังอยู่ในเกมยุโรป ดอร์ทมุนด์ (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก), บาเยิร์น มิวนิก (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) และเลเวอร์คูเซน (ยูโรปา ลีก) ส่วนอันดับ 3 อังกฤษ มี 17.375 คะแนน เหลือทีมเดียว แอสตัน วิลลา (ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก)
ทำให้ตอนนี้ทีมที่ได้โควตาเพิ่มเป็น 5 ทีม ตกเป็นของอิตาลีและเยอรมนี ค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว ส่วนอังกฤษก็ต้องอกหักได้โควตา 4 ทีมเหมือนเดิม
หลายคนอาจจะงงว่าทำไมต้องมีการเพิ่มโควตายูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก็เนื่องจากในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฤดูกาล 2024-2025 เข้าร่วมเพิ่มเป็น 36 ทีม จากเดิมที่มีเพียงแค่ 32 ทีมเท่านั้น นอกจากนั้นยังปรับระบบการแข่งขันใหม่อีกด้วย
โดยในรอบแบ่งกลุ่มจากเดิมที่แข่ง 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม กลายมาเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 9 ทีม โดยแต่ละทีมจะทำการแข่งขัน 8 ทีม แบ่งออก
เป็นเหย้า 4 นัด และเยือน 4 นัด โดยจะเจอคู่ต่อสู้ ไม่ซ้ำกันเลยทั้ง 8 นัด
ซึ่ง 8 อันดับแรก จะผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ (รอบ 16 ทีม) โดยอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 9-24 จะเข้ามาสู่รอบการแข่งขันเพลย์ออฟ 2 นัด เพื่อเอาอีก 8 ทีมที่เหลือ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนอีก 8 ทีม ที่แพ้จากรอบเพลย์ออฟก็จะหล่นไป เล่นในศึกยูโรปา ลีก ต่อไป ส่วนทีมอันดับ 25-36 จะตกรอบทันที
หลายคนพออ่านดูแล้วอาจจะงงเล็กน้อยว่าทาง “ยูฟ่า” ได้ปรับเปลี่ยนทำไมเพราะมองว่าในการจัดการแข่งขันยุคปัจจุบันก็ลงตัวแล้วก็ตาม
นอกจากนั้น ทางยูฟ่าชี้แจงว่าระบบนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้เจอกับทีมอื่นๆมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ทีมระดับท็อปได้เจอกันเร็วขึ้นบ่อยขึ้น (เช่นทีมอยู่โถ 1 เท่ากับต้องเจอทีมในโถ 1 ด้วยกันอย่างน้อย 2 นัด จาก 8 นัด) เพื่อความสนุกที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันระบบใหม่จะทำให้เกิดสมดุลในการแข่งขัน เพราะแต่ละทีมจะต้องเจอคู่ต่อสู้ที่ระดับใกล้เคียงกันและการแข่งขันจะเข้มข้นมากขึ้น เพราะทุกนัดถือว่ามีความหมายในการจัดอันดับ 1-36 ซึ่งจะวัดการเข้ารอบต่อไป
ก็ต้องมาลุ้นดูกันว่าศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก โฉมใหม่จะสนุกและมันขึ้นเหมือนที่ “ยูฟ่า” โฆษณา ชวนเชื่อหรือไม่!
มะระหวาน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่