ไทยรัฐฉบับพิมพ์
วันนี้ (6 ส.ค.) มีเกมชิงโล่การกุศล รายการ “คอมมูนิตี้ชิลด์ 2023” เป็นการพบกันระหว่าง “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล รองแชมป์พรีเมียร์ลีก พบกับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าของทริปเปิลแชมป์ในซีซันที่แล้ว ลงเตะกันที่เวมบลีย์ สเตเดียม เวลา 22.00 น.
ซึ่งการเตะรายการนี้มันเป็นการส่งสัญญาณบ่งบอกว่าเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง หลังจากพักเบรกไปกว่า 2 เดือนเต็มๆ โดยเกมพรีเมียร์ลีกจะกลับมาฟาดแข้งกัน นัดแรกในสัปดาห์หน้าวันที่ 11-14 สิงหาคมนี้
สำหรับโปรแกรมพรีเมียร์ลีกสัปดาห์แรกมีดังนี้ วันที่ 11 ส.ค.66 เบิร์นลีย์ พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, วันที่ 12 ส.ค.66 อาร์เซนอล พบ นอตติงแฮม ฟอเรสต์, บอร์นมัธ พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ไบรท์ตัน พบ ลูตัน ทาวน์, เอฟเวอร์ตัน พบ ฟูแลม, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด พบ คริสตัล พาเลซ, นิวคาสเซิล พบ แอสตัน วิลลา, วันที่ 13 ส.ค.66 เบรนท์ฟอร์ด พบ ทอตแนม ฮอตสเปอร์, เชลซี พบ ลิเวอร์พูล, วันที่ 14 ส.ค.66 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ วูล์ฟ แฮมป์ตัน
จากโปรแกรมที่ออกมาแค่เกมแรกก็มีเกมระดับบิ๊กแมตช์กันแล้วนั่นก็คือ “สิงห์บลู” ฟัดกับ “หงส์แดง” สมกับเป็นลีกที่แข็งแกร่งและเร้าใจที่สุดในโลก
ซึ่งในซีซันนี้ตัวเต็งแชมป์ก็ยังไม่เปลี่ยนยังคงเป็น “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าและแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันที่ยังถูกยกให้ว่ามีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด โดยมี “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล เป็นเต็ง 2 ร่วมกันที่จะเข้าวินคว้าถ้วยแชมป์ลีกไปครอง ส่วน “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกยกให้เป็นเต็ง 4
สาเหตุที่ทางหลายฝ่ายยังมองว่า “เรือใบสีฟ้า” จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง เนื่องจากขุมกำลังของแมนฯ ซิตี้ แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำไปมีเพียงแค่อิลคาย กุนโดกัน กัปตันทีมชาวเยอรมันที่หมดสัญญา และริยาด มาห์เรซ ปีกทีมชาติแอลจีเรียที่ย้ายไปขุดทองที่ซาอุดีอาระเบียเท่านั้น
ซึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือเลือดกระทิงก็ได้ดึงตัวของมาเตโอ โควาซิช มิดฟิลด์ทีมชาติโครเอเชียมาแทนอดีตกัปตันทีมคนเก่ง เรียกได้ว่าการดึงอดีตกองกลางเรอัล มาดริด มาร่วมก๊วนนั้นถือว่าเป็นการเลือกจิ๊กซอว์ที่ถูกตำแหน่งของเป๊ปเลยทีเดียว เพราะโควาซิชนั้นเล่นสไตล์เดียวกับกุนโดกัน ที่จากไปแบบไม่ผิดเพี้ยน ส่วนมาห์เรซ ช่วงหลังๆก็เป็นตัวสำรองอยู่แล้ว
นอกจากนั้นขุมกำลังระดับพระกาฬยังอยู่กันพร้อมหน้าไม่ว่าจะเป็น เออร์ลิง ฮาแลนด์, เควิน เดอ บรอยน์, แบร์นาร์โด ซิลวา, แจค กรีลิช, โรดรี, ฟิล โฟเดน, ฮูเลียน อัลวาเรซ, รูเบน ดิอาส, เอแดร์สัน และนอกจากนั้นทั้งหมดนี่แค่มองตาก็รู้ใจกันอยู่แล้ว ซึ่งทีมเวิร์กนี่แหละคืออาวุธที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” แข็งแกร่งมาถึงตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ซิตี้แม้ว่าขุมกำลังจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะบรรดาผู้ท้าชิงทั้งหลายอย่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล, “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล, “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง “สิงห์บลู” เชลซี และ “สาลิกา”นิวคาสเซิล ก็เสริมทัพกันครั้งใหญ่
ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อที่จะสอยตัวของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงมาจากบัลลังก์ เพื่อที่จะพาสโมสรของตัวเองขึ้นไปแทน
ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาผู้ท้าชิงก็คือ “เดอะ กันเนอร์ส” เพราะในปีนี้ มิเกล อาร์เตตา นายใหญ่เลือดกระทิงจัดหนักจัดเต็มหมดเงินไปกว่า 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 8,836 ล้านบาท) แลกกับ เดแคลน ไรซ์, ไค ฮาเวิร์ตซ์ และเยอร์เรียน ทิมเบอร์ มาร่วมก๊วน บวกกับบรรดาดาวรุ่งฝีเท้าฉกาจอย่างบูกาโย ซากา, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, มาร์ติน โอเดการ์ด, เลอันโดร ทรอสซาร์, โธมัส ปาร์เตย์, วิลเลียม ซาลิบา, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก บวกกับประสบการณ์อันมหาศาลจากการชวดแชมป์ในซีซันที่แล้ว ถือว่าน่ากลัวแบบสุดๆ ที่จะกระชาก “เรือใบสีฟ้า” ลงมาได้
ขณะที่อีกทีมที่น่ากลัวก็คือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ของเจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมันที่ถ่ายเลือดใหม่ปล่อยเอาบรรดาตัวเก๋าออกไปหมดไม่ว่าจะเป็นจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิตา, โรแบร์โต ฟีร์มิโน, ฟาบินโญ, เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน แม้ว่าจะได้มาแค่ 2 รายได้แก่ อเล็กซิส แม็ค อลิสเตอร์ กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์โลก และโดมินิค โซบอสซ์ซไล มิดฟิลด์ทีมชาติฮังการี แต่ก็ถือว่าของดีใช้งานได้ทันที
เมื่อทั้งสองรายบวกกับบรรดาตัวหลักอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา, หลุยส์ ดิอาซ, โคดี กักโป, ดาร์วิน นูนเญซ, ติอาโก อัลคันทารา, อิบราฮิม โกนาเต, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, อลิสสัน เบคเกอร์ ภายใต้การนำทีมของเวอร์จิล ฟาน ไดก์ กัปตันทีมคนใหม่
เรียกได้ว่าจากขุมกำลังของคลอปป์นั้นสุดแข็งแกร่งโดยเฉพาะแนวรุกเรียกได้ว่าน่ากลัวไม่แพ้แมนฯ ซิตี้ หรืออาร์เซนอล เลย แต่ขออย่างเดียวอย่าโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนล้มหมอน นอนเสื่อไปเกือบครึ่งทีมแบบซีซันที่ผ่านมา
อีกทีมที่เสริมทัพแบบเต็มพิกัดนั้นก็คือ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ดึงตัวของเมสัน เมาท์ กองกลางทีมชาติอังกฤษ และ อองเดร โอนานา จอมหนึบชาวแคเมอรูน มาร่วมก๊วน และยังปิดดีลคว้าตัวของราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าทีมชาติเดนมาร์กมาร่วมก๊วนแล้ว โดยดาวยิงเลือดโคนมเดินทางมาตรวจร่างกายผ่านฉลุยเรียบร้อยแล้วเหลือ แค่ประกาศอย่างเป็นทางการ
เมื่อมาผนึกกำลังกับมาร์คัส แรชฟอร์ด,บรูโน แฟร์นันเดส, คาเซมิโร, อันโตนี, จาดอน ซานโช, คริสเตียน อีริคเซน, อเลฮานโดร การ์นาโช, แอนโธนีย์ มาร์กเซียล, ราฟาเอล วาราน, ลิซานโดร มาร์ติเนซ ก็ถือว่าน่ากลัวไม่ใช่เล่น รวมกับฝีไม้ลายมือของ เอริค เทน ฮาก กุนซือมากฝีมือชาวดัตช์น่าจะพา “ปิศาจแดง” ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงได้เช่นกัน
นอกจากที่กล่าวไปนั้นก็ยังมี “สิงห์บลู” เชลซี ที่ได้เมาริซิโอ โปเชตติโน กุนซือมากฝีมือชาวอาร์เจนไตน์มาคุมทัพ ทำให้ตอนนี้ “สิงห์บลู” ที่กลายเป็นสิงห์ไร้คมเขี้ยวในฤดูกาลที่แล้ว กลับมาดุดันเหมือนเก่าอีกครั้ง แถมการเล่นแนวรุกที่ยังหลากหลายน่ากลัวอีกครั้ง ส่วนเรื่องขุมกำลังถือว่าน่ากลัวอยู่แล้วแค่รอกุนซือมากฝีมืออย่าง “พอช” มาปรับให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น
และอีกทีมที่จะประมาทไม่ได้ก็คือ “สาลิกา” นิวคาสเซิล ที่เสริมทัพแบบน่ากลัวไม่ใช่เล่น การได้ ซานโดร โตนาลี และฮาร์วีย์ บาร์นส์ มาร่วมทัพทำให้ขุมกำลังกลับมาสมดุลอีกครั้งน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญของบรรดาทีมลุ้นแชมป์ได้เช่นกัน
เรียกได้ว่าปีนี้ พรีเมียร์ลีกเป็นอีกซีซันที่น่าดูจริงๆ เพราะเห็นแต่ละทีมช็อปปิ้งแล้วดูแทบไม่ออกเลยทีเดียวว่าใครจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองในท้ายที่สุด!!
ชานนท์ กล่ำดิษฐ์...เรื่อง