มะระหวาน
นับตั้งแต่ปี 2003 ที่ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซียได้เข้ามาเทก โอเวอร์สโมสรเชลซี เจ้าตัวพา “สิงห์บลู” กลายร่างจากสโมสรระดับกลางในพรีเมียร์ลีกขยับขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของลีกสูงสุดเมืองผู้ดี
โดยเชลซีในยุค “เสี่ยหมี” ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งการคว้าแชมป์ลีกในครั้งนั้นเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งที่สองของประวัติศาสตร์สโมสรอันยาวนาน 116 ปี
จากการนับหนึ่งในครั้งดังกล่าวหลังจากนั้นเป็นต้นมา เชลซีภายใต้การบริหารงานของ “เสี่ยหมี” มาถึงบัดนี้คว้าแชมป์ไปทั้งหมด 19 รายการด้วยกัน (ไม่นับรวมศึกแชริตี้ ชิลด์)
19 รายการนั้นประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก 5 ครั้ง, แชมเปียนส์ลีก 2 ครั้ง, เอฟเอคัพ 5 ครั้ง, ลีก คัพ 3 ครั้ง, แชมป์ยูโรปาลีก 2 ครั้ง, แชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 1 ครั้ง และแชมป์สโมสรโลก 1 ครั้ง
เรียกว่านับตั้งแต่ “เสี่ยหมี” ก้าวเข้ามาในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ได้เปลี่ยนโฉมสโมสรเกือบทุกทาง โดยเฉพาะผลงานของ “สิงห์บลู” ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการที่เขาเข้ามาไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามากอบโกยเรื่องเงินแต่อย่างใด
แต่อบราโมวิชเข้ามาสโมสรแห่งนี้ด้วยความรักในเกมลูกหนังจริงๆ
หากไม่รักในสโมสรแห่งนี้จริง “เสี่ยหมี” ก็คงไม่ควักเงินจำนวนมหาศาลเพื่อคว้านักเตะชั้นยอดเข้ามาร่วมทีมมากมาย โดยมีรายงานว่า อบราโมวิช ควักเงินจ่ายในการซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมมากถึง 2,100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 91,461 ล้านบาท)
แม้ว่านักเตะบางรายจะไม่คุ้มค่าบ้างก็ตาม!!
สำหรับนักเตะที่เชลซีจ่ายเงินแพงที่สุดในยุคของโรมัน อบราโมวิช นั่นก็คือ โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยียม ที่ดึงตัวมาจากอินเตอร์ มิลาน เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาจำนวน 98 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,267 ล้านบาท)
รองลงมาก็คือ ไค ฮาเวิร์ตซ์ แนวรุกทีมชาติเยอรมนี จำนวน 89 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,875 ล้านบาท) และอันดับ 3 เกปา อาร์รีซาบาลากา ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน จำนวน 72 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,135 ล้านบาท)
นอกจากนั้นยุคของ “เสี่ยหมี” ตลอด 19 ปีนั้นเปลี่ยนกุนซือทั้งหมด 15 ครั้ง หากนับทั้งกุนซือแบบถาวรและแบบชั่วคราว แต่หากนับเป็นรายบุคคลก็จะมีจำนวน 13 คน เพราะ 2 กุนซือที่รีเทิร์นกลับมาคุม “สิงห์บลู” อีกครั้งนั่นก็คือ โจเซ มูรินโญ กับกุส ฮิดดิงค์
แต่ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนบ่อยหากนับถ้วยแชมป์ที่ได้มาก็ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
หลังจากมีข่าวลือออกมาว่าทาง “เสี่ยหมี” ต้องการขายทีมเมื่อวันก่อน ล่าสุด อบราโมวิชก็ได้ยืนยัน ว่าจะขายสโมสรจริง ถือว่าไม่เหนือความคาดหมาย นักด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นตัวกำหนด
แต่ก็ใช่ว่าการทำสงครามของรัสเซียกับยูเครนนั้นจะเป็นฉนวนต้นเหตุให้อบราโมวิช ประกาศขายทีมในครั้งนี้
ก่อนหน้านี้ “เสี่ยหมี” ก็เคยคิดที่จะขายสโมสรเชลซีเช่นกัน หลังจากโดนรัฐบาลอังกฤษไม่ยอมต่อวีซ่าให้กับตัวเขาเอง เป็นเวลาเกือบสองปีที่เขาไม่ได้เข้าไปดูทีมของตัวเองลงเล่นในอังกฤษ
แต่ก็มีอยู่ช่วงสั้นๆที่อบราโมวิชกลับเข้าไปอังกฤษได้ด้วยการถือสัญชาติอิสราเอล แต่ก็แค่แป๊บเดียวก็โดนบล็อกห้ามเข้าอังกฤษอีกครั้ง
หาก “เสี่ยหมี” ขายทีมทิ้งจริงๆ ก็น่าเป็นห่วงความรุ่งเรืองของสโมสรจะเดินหน้าต่อไปหรือจะค่อยๆตกลง
แต่ดูแล้วมีโอกาสสูงที่ฟอร์มการเล่นของเชลซีจะค่อยๆถอยลง
เพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครที่เข้ามาซื้อเชลซี เอาไว้ครอบครองคงไม่มีใครกล้าทุ่มทุนสร้างเท่า “เสี่ยหมี” อีกแล้ว!!
มะระหวาน