มะระหวาน
เกือบแย่เลยทีเดียวสําหรับ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องไล่ตามตีเสมอ “สาลิกา” นิวคาสเซิล รองบ๊วยของตาราง 1-1 ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ทําให้เก็บเพิ่มได้เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น
ที่จริงแล้วเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะ เก็บได้มากกว่า 1 แต้มด้วยซ้ำเพราะนิวคาสเซิล 3 นัดล่าสุดโดนถลุงไปถึง11 ประตูด้วยกัน ไม่ว่า จะเป็น แพ้ เลสเตอร์ 0-4, แพ้ ลิเวอร์พูล 1-3 และนัดล่าสุดแพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-4
พอเล่นไปเล่นมาเกือบจะแพ้ซะอย่างนั้น!!
ซึ่งบอกได้เลยว่าเกมนี้เป็นอีกเกมที่ “ปิศาจแดง” เล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ขึ้นเกมไม่เป็นทรง แนวรับเล่นกันได้สะเปะสะปะก่อความผิดพลาดตลอด และเล่นกันแบบไม่มีความเป็นทีมเวิร์กซักเท่าไร
ก็น่าแปลกใจเหมือนกันปกติแล้วเมื่อบอล เปลี่ยนโค้ชนักเตะจะเล่นกันอย่างกระตือรือร้น มากกว่าเดิมเพื่อหวังเอาใจนายใหญ่คนใหม่
แต่ตอนนี้พอเล่นไปได้ 3-4 นัด แข้ง “ปิศาจแดง” ก็ออกอีหรอบเดิมเหมือนตอนที่โอเล กุนนาร์ โซลชา อดีตกุนซือชาวนอร์เวย์คุมทัพ
อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนักเตะเพิ่งหายจาก โควิด-19 เลยเล่นแบบไม่มีแรงหรือเล่นด้วย ทัศนคติที่ย่ำแย่
จากสถานการณ์แบบนี้ดูแล้วโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะก้าวขึ้นไปสู่ทอปโฟร์หรือลุ้น แชมป์รายการใดรายการหนึ่งค่อนข้างยากเลยทีเดียว
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจและเปลี่ยนไปก็ คือ คริสเตียโน โรนัลโดกองหน้าตัวเก๋าทีมชาติ โปรตุเกส ที่ช่วงหลังๆ ดาวเตะวัย 36 ปีจะดูหงุดหงิด และไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ตัวเองและของ ทีมมากเท่าไร
ปกติโรนัลโดจะให้ความสําคัญกับแฟนบอล ค่อนข้างมากเลยทีเดียว และเป็นกันเองตลอด โดยเฉพาะสาวก “ปิศาจแดง”
แต่ช่วงหลังๆโรนัลโดเริ่มเปลี่ยนไปไม่ค่อย สนใจสาวก “เรดเดวิลส์” เท่าไร โดยเฉพาะเวลา ที่ไม่ได้ดั่งใจ
ปกติแล้วบรรดานักเตะทีมต่างๆจะอยู่ ขอบคุณแฟนบอลกันก่อนที่อุตส่าห์เดินทางมา ตามเชียร์ในการเล่นเป็นทีมเยือน ซึ่งช่วงแรกๆ “โรนัลโด” ก็อยู่ขอบคุณแฟนบอลปกติ
แต่ช่วงหลังๆเวลากรรมการเป่าจบเกม “โด้” ก็หนีเข้าห้องแต่งตัวทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เกมแรกเกิดขึ้นในเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ เชลซี 1-1 ซึ่งในเกมนั้น ไมเคิล คาร์ริค กุนซือขัดตาทัพได้ดร็อป “โด้” เป็นตัวสํารอง หลังจบเกมดังกล่าวอดีตดาวยิงยูเวนตุสก็แจ้น เข้าห้องแต่งตัวทันที เช่นเดียวกับเกมเสมอ เอฟเวอร์ตัน1-1 ซึ่งเกมดังกล่าว “โด้” ก็พุ่งเข้าไป ยังห้องแต่งตัวทันที
และมันก็เกิดขึ้นในเกมล่าสุดที่แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ นิวคาสเซิล 1-1 อีกครั้ง หลังจบเกม โรนัลโดก็ทําอีหรอบเดิมวิ่งเข้าห้องแต่งตัวทันที เช่นเดียวกับ บรูโน แฟร์นันเดส เพลย์เมกเกอร์ ตัวเก่งทําให้ต้องเป็นสกอตต์แมคโทมิเนย์รับหน้าที่ เดินขอบคุณแฟนบอลแทน
เช่นเดียวกับจังหวะที่ “โด้” เตะบอลอัด เคอร์ติช โจนส์ กองกลางลิเวอร์พูล ทั้งๆที่ล้มไป แล้ว หลังจากโมโหที่ไม่สามารถแย่งบอลจาก เท้าของดาวรุ่ง “หงส์แดง” ได้
เรียกได้ว่าช่วงหลังๆ “โด้” อารมณ์แปรปรวน ค่อนข้างง่าย แสดงอาการหงุดหงิดได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ ไม่ว่าจะ เป็นเกมในสนามหรือฟอร์มการเล่นของตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะหงุดหงิดแค่ไหนก็ไม่ควรทําตัว แบบนี้
จากที่แฟนบอลรักจะกลายเป็นแฟน บอลไม่รักเอาได้ง่ายๆ
มะระหวาน