ไทยรัฐออนไลน์
จากกระแสขยับขวดน้ำอัดลมให้พ้นเฟรมของ คริสเตียโน โรนัลโด ในยูโร 2020 กลายเป็นไอเดียให้กิจการดังโฆษณาสินค้าใหม่ออกมาทำกำไรได้อย่างแยบยล
วันที่ 23 มิ.ย. 64 "อิเกีย แคนาดา" โฆษณาสินค้าใหม่ผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่งเป็นขวดแก้วสำหรับใส่น้ำดื่มชนิดใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 63 บาท) แม้ดูผิวเผินอาจเป็นแค่ขวดน้ำดื่มธรรมดาๆ แต่ความพิเศษของสินค้าตัวนี้อยู่ที่การตั้งชื่อว่า "คริสเตียโน"
ไม่เพียงเท่านั้น โฆษณาชิ้นนี้ยังมีข้อความกำกับว่า "ขวดน้ำใช้ซ้ำ สำหรับน้ำดื่มเท่านั้น" พร้อมแคปชั่นในโซเชียลมีเดียเป็นสโลแกนประจำสินค้าตัวใหม่นี้ว่า "ดื่มน้ำ อย่างยั่งยืน" เป็นการสื่อถึงประโยชน์ของขวดน้ำดื่มชนิดใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างคมคาย
ทั้งนี้ "อิเกีย แคนาดา" ได้ไอเดียในการออกสินค้าตัวนี้มา หลังจากที่ คริสเตียโน โรนัลโด ยอดดาวยิงทีมชาติโปรตุเกสจุดกระแสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรื่องการขยับขวด "โคคา-โคลา" น้ำอัดลมผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2020" ให้พ้นตัวในห้องแถลงข่าวก่อนเกมแรกในกลุ่มเอฟ พบ ฮังการี พร้อมทั้งชูขวดน้ำเปล่าที่พกติดตัวมาแล้วพูดว่า "ต้องดื่มน้ำเปล่าสิ"
การกระทำของ โรนัลโด ทำให้หลายคนตีความไปว่าเจ้าตัวต้องการสื่อสารให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลมเช่นเดียวกับตัวเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องการดูแลสภาพร่างกายอย่างเคร่งครัดและดีเยี่ยมมาตลอด
จากนั้นก็มีหลายคนทำตามจนกลายเป็นกระแสนานหลายวัน เช่น พอล ป็อกบา มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสที่ขยับขวดเบียร์ "ไฮเนเกน" เนื่องจากเป็นของต้องห้ามสำหรับชาวมุสลิมแบบตัวเขา รวมถึง มานูเอล โลคาเตลลี กองกลางทีมชาติอิตาลีที่ทำแบบเดียวกับ โรนัลโด
แต่ในรายของ สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ กุนซือทีมชาติรัสเซีย กลับสวนกระแสด้วยการเปิดขวดโคคา-โคลา แล้วกระดกขึ้นมาดื่มโชว์สื่อมวลชนในห้องแถลงข่าว ตลอดจน อังเดร ยาร์โมเลนโก กัปตันทีมชาติยูเครนที่หยิบทั้งขวดน้ำอัดลมและเบียร์ของผู้สนับสนุนเข้าหาตัว พร้อมหยอดมุกแบบขำๆ ว่าเขารับได้ทุกอย่าง หากสินค้าไหนสนใจสามารถติดต่อให้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ได้
เมื่อเห็นว่ากระแสเริ่มบานปลาย สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) จึงตัดสินใจใช้ไม้แข็งด้วยการออกมาขู่ว่าจะลงโทษปรับเงินทีมชาตินั้นๆ หากมีใครขยับขวดเครื่องดื่มของผู้สนับสนุนศึกยูโร 2020 เหมือนที่เคยทำกันมาก่อนหน้านี้ พร้อมชี้แจงว่าเม็ดเงินจากบรรดาผู้สนับสนุนการแข่งขันล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลในทุกระดับ ทำให้กระแสดังกล่าวเริ่มซาลงไปในที่สุด