หมวดแซม
แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับฟอร์มอันร้อนแรงของพลพรรค “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ในชั่วโมงนี้ ล่าสุดทีมของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส คว้าชัยชนะ 8 นัดรวดในลีก หลังบุกไปขย้ำ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา แดดิ้นสิ้นชีพคารัง 4–1 ในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อวันอาทิตย์ทำให้ตอนนี้เลสเตอร์ยึดรองจ่าฝูงต่อและไล่จี้จ่าฝูง ลิเวอร์พูล เหลือแค่ 8 แต้มแล้ว
ต้องยอมรับว่านาทีนี้ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อย่างเต็มตัวแล้ว
เนื่องจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า 2 สมัยซ้อน พลาดท่าสะดุดแพ้ให้กับอริร่วมเมืองอย่างแมนฯยูไนเต็ด 1-2 ในศึกดาร์บี้แมตช์ เมื่อวันเสาร์ ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าถูกลิเวอร์พูลทิ้งห่างไปไกลถึง 14 แต้ม
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่นอนว่า เหตุที่เลสเตอร์โชว์ฟอร์มได้เปรี้ยงปร้างในฤดูกาลนี้ ก็เพราะพวกเขามีเบรนดัน ร็อดเจอร์ส เป็นกุนซือคุมทีม
“บีร็อด” สามารถปลุกเสกชุบชีวิตทีม “สุนัขจิ้งจอก” ให้กลับมาผงาดในศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษอีกครั้ง หลังจากที่เขาเข้ามารับงานเป็นนายใหญ่ในถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดียม ต่อจากโคลด ปูแอล เมื่อปี 2019
ไม่เพียงเท่านั้นร็อดเจอร์ส ยังชุบชีวิตเจมี วาร์ดี ศูนย์หน้าชาวอังกฤษ ให้กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ หลายคนมองว่าวาร์ดี น่าจะผ่านจุดพีกของตัวเองไปแล้ว หลังพาทีมจิ้งจอกสยามคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16
ทว่าในเวลานี้วาร์ดีโชว์ฟอร์มถล่มประตูได้อย่างร้อนแรงกับเลสเตอร์ โดยซัดไปแล้ว 16 ประตู จากการลงเล่น 16 เกมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
แถมยังซัลโวประตูไปแล้ว 8 เกมติดต่อกันเป็นครั้งที่สองในพรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับรุด ฟาน นิสเตลรอย ตำนานกองหน้า “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำได้
นอกจากนี้ วาร์ดี ยังมีลุ้นทำลายสถิติของตัวเองที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 11 แมตช์ติดต่อกันอีกด้วย ซึ่งตอนนี้เขาต้องการยิงให้ได้ต่อเนื่องในลีกอีก 4 แมตช์เท่านั้น ก็จะทำลายสถิติเก่าของตัวเอง
ทีม “จิ้งจอกสยาม” ชุดนี้ของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส นอกจากมีเกมรุกที่ยอดเยี่ยมแล้ว พวกเขายังเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีกอีกด้วย โดยจนถึงตอนนี้ เลสเตอร์เสียไปแค่ 10 ลูกเท่านั้น หลังผ่านไป 16 เกม เฉลี่ยเสียประตูให้คู่แข่งนัดละไม่ถึง 1 ลูกด้วยซ้ำ
เดือนธันวาคมนี้เลสเตอร์ต้องเจอศึกหนักถึงสองนัดด้วยกัน นั่นคือเกมบุกเยือนแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอติฮัด สเตเดียม ในวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่งหากเลสเตอร์กลับออกมาจากถิ่นเอติฮัดโดยที่ไม่แพ้ ก็น่าจะได้ลุ้นแชมป์แบบยาวๆแน่นอน
จากนั้นโปรแกรมบ็อกซิ่งเดย์ พลพรรค “จิ้งจอกสยาม” ก็จะได้เปิดบ้านรับมือจ่าฝูงลิเวอร์พูล ในวันที่ 26 ธ.ค. เกมนี้หากเลสเตอร์พลิกเอาชนะเด็ดปีกหงส์แดงได้ พวกเขาอาจจะไล่บี้หายใจ
รดต้นคอหงส์แดงเลยทีเดียว
ต้องยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ว่า ชั่วโมงนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ คือทีมสุนัขจิ้งจอกพลังเทอร์โบดีๆ นี่เอง.
หมวดแซม