เบี้ยหงาย
มีการประเมินผลงานของนัก กีฬาไทยในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่อินโดนีเซีย ซึ่งสาธารณชนและแฟนๆกีฬาโดยรวม รับรู้อยู่เต็มอกว่าเที่ยวนี้นักกีฬาไทยเรา ซึ่งส่งไปแข่งขันมากเป็นประวัติการณ์เหนือมหาอำนาจทางกีฬาของเอเชียอยู่หลายชาติ ด้วยยอดเฉพาะนักกีฬาไม่รวมเจ้าหน้าที่ปาเข้าไปถึง 830 คน
ก่อนจะได้มาเพียง 11 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน และ 46 เหรียญทองแดง เป็นอันดับ 12 และนับเป็นการหลุด 10 อันดับแรกในรอบ 20 ปีทีเดียว
ทาง กกท. โดยรองผู้ว่าการฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา ณัฐวุฒิ เรืองเวส ออกมาแจกแจงตัวเลขสถิติต่างๆ ค่อนข้างละเอียด ซึ่งก็แล้วแต่จะมองกันในประเด็นไหนแล้วตีความกัน เชื่อว่าหลายท่านที่สนใจคงจะได้อ่านกันผ่านตาในช่องทางต่างๆ ซึ่งก็ไม่ได้มีการฟันธงว่าสำเร็จหรือล้มเหลว
แต่สิ่งที่ไม่มีในการแจกแจงดังกล่าวคือเรื่องของงบประมาณที่ใช้ทั้งหมด จึงไม่สามารถเปรียบเทียบในเชิงตัวเงินที่จับจ่ายใช้สอยกับการส่งไปแข่งขันกันมากมายในครั้งนี้ว่าแตกต่างจากอดีตแค่ไหน รวมถึงไม่ได้แยกแยะกีฬาสากลที่มีแข่ง ในโอลิมปิกเกมส์ให้เห็น ซึ่งหากแยกกันจริงๆอย่างที่ทราบกันดี เราจะเหลือเหรียญทองกับกีฬากลุ่มนี้เพียงน้อยนิด แถมไม่มีการเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนอีก จะได้เห็นกันชัดๆถึงการพัฒนาขึ้นหรือลง
ขณะที่ฝั่งของเสียงสะท้อนจากประชาชนคนไทยที่ดูกีฬา ในแบบของโพล หรือการสำรวจ ซึ่ง เคบียู สปอร์ตโพล ของ ม.เกษมบัณฑิต ทำออกมาในหัวข้อ “เสียงสะท้อนของคนไทยกับบทสรุปเอเชียนเกมส์ 2018” ซึ่งไม่ได้มีการตำหนินักกีฬาแต่อย่างไร แถมส่วนใหญ่แสดงความขอบคุณและชื่นชม ให้กำลังใจกันถ้วนหน้า
แต่ก็มีผิดหวังกับกีฬาใหญ่ ฟุตบอลชาย เป็นอันดับ 1 ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย
น่าสนใจตรงข้อเสนอแนะทั่วไป ที่มีการระบุว่าควรจัดส่งชนิดกีฬาที่มีความหวังไม่เน้นปริมาณ, ทุ่มงบประมาณไปสู่ชนิดกีฬาที่มีผลงานในเชิงประจักษ์, สร้างแรงจูงใจให้กับองค์กรผู้สนับสนุน, ส่งเสริมสนับสนุนกีฬาสู่สังคมในทุกมิติ และ พิจารณารางวัลให้เหมาะสมกับความยากง่ายของชนิดกีฬา เป็นต้น
ดูมุมมองในข้อเสนอแนะนี้จะแตกต่างกับทั้งระดับรัฐมนตรีกีฬา ที่ท่านบอกไว้ว่าการส่งไปแข่งเยอะๆนี้ถือเป็นการหาประสบการณ์
ก็ไม่รู้ว่าประเมินกันออกมา สะท้อนกันออกมา แล้วจะได้อะไร นำไปสู่อะไร
อีกไม่กี่วันก็ลืม นี่ก็ชักจะเลือนๆกันไปแล้ว
รอดูอีก 4 ปีข้างหน้า เราจะส่งนักกีฬาไปหาประสบการณ์อีกเท่าไหร่ สถิติเอเชียนเกมส์ 830 คน จะถูกทำลายรึเปล่า
ก็ไม่รู้ว่า ตอนนั้นรัฐบาลเปลี่ยน รมต.เปลี่ยน ความคิดเช่นวันนี้จะยังคงอยู่หรือไม่...
“เบี้ยหงาย”