มนุษย์โลกพยายามจะค้นหาคำตอบว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อค้นหาสัญญาณสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว และล่าสุดองค์การค้นหาสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญานอกโลก (Search for Extraterrestrial Institute) หรือองค์กร SETI ได้มีการจำลองการรับสัญญาณจากต่างดาว จนสามารถค้นพบสัญญาณที่มนุษย์ต่างดาว สื่อสารกลับมายังโลกเป็นครั้งแรก

หรือสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจกำลังตั้งใจติดต่อสื่อสารกับชาวโลกก็ได้ นั่นคือสิ่งต้องค้นหากันต่อไป ก่อนหน้านั้นเมื่อปลายปี 2565 ทีมนักดาราศาสตร์วิทยุจากมหาวิทยาลัยดังในประเทศแคนาดาและอินเดีย ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ จนสามารถค้นพบสัญญาณวิทยุจากกาแล็กซีที่ไกลที่สุด ห่างออกไปจากโลก 9 พันล้านปีแสง ขณะที่เอกภพมีอายุเพียง 4.9 พันล้านปี หรือเมื่อ 8.8 พันล้านปีก่อน นับเป็นหนึ่งในสัญญาณวิทยุจากกาแล็กซีที่ไกลที่สุด นับตั้งแต่มีการค้นพบกันมา

หนึ่งในนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ของไทย "ดร.มติพล ตั้งมติธรรม" จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ผู้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่ต้องมีหลักฐานตามหลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็น อย่างกรณีองค์การ SETI ค้นพบสัญญาณวิทยุจากนอกโลก เป็นการจำลองจากฝีมือมนุษย์ในการรับสัญญาณที่ถูกส่งมาจากยานอวกาศที่โคจรอยู่ห่างออกไปเพียง 300 ล้านกิโลเมตร ในวงโคจรของดาวอังคาร จะนำไปสู่การค้นพบอะไรใหม่ๆ และค้นหาความจริง

...

จากข่าวเมื่อปลายปี 2565 มีการค้นพบสัญญาณวิทยุจากกาแล็กซี ทำให้คนเข้าใจว่ามีคนส่งสัญญาณเข้ามา และคิดว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เป็นสัญญาณจากคลื่นวิทยุของมนุษย์โลกในปัจจุบันใช้ในการสื่อสาร ซึ่งแตกต่างกับสัญญาณวิทยุ โดยเป็นสัญญาณความยาวคลื่น 21 เซนติเมตร หรือ "21 cm line" หนึ่งในสัญญาณวิทยุที่พบมากที่สุดในเอกภพ ถูกเปล่งออกมา เมื่ออิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจน เกิดการเปลี่ยนขั้วในแกนหมุน สามารถพบได้ทุกที่ที่มีอะตอมของไฮโดรเจน และปกติแล้วสัญญาณจากกาแล็กซีที่ห่างไกลออกไป จะมีกำลังที่อ่อนมากจนไม่สามารถแยกออกได้จากสัญญาณรบกวนพื้นหลัง

“สัญญาณที่ถูกส่งออกมาไกลมาก บังเอิญเฉียดผ่านกาแล็กซี จนเกิดปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วง เกิดการบิดเบี้ยวออก คล้ายแสงที่ถูกบิดเบี้ยวด้วยแว่นขยาย ทำให้สัญญาณถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นถึง 30 เท่า จากการใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ ส่องไป ถือเป็นแค่สเตปหนึ่ง ในการไขปริศนามนุษย์ต่างดาว และที่ผ่านมาเราค้นพบกาแล็กซีที่ไกลมาก ยิ่งเห็นกาแล็กซีที่ไกลมากออกไป ก็ยิ่งดี ยิ่งได้รับความสนใจจากผู้คนในเรื่องมนุษย์ต่างดาว”

แม้ว่าสัญญาณวิทยุนี้ จะไม่ได้ถูกส่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว หรือจากกาแล็กซีอันไกลโพ้น แต่บ่งชี้ให้เห็นว่าเราสามารถใช้หลักการทางฟิสิกส์ และกฎแรงโน้มถ่วงในธรรมชาติ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ อย่างการนำเลนส์ความโน้มถ่วงมาประยุกต์ ทำให้สามารถศึกษาสถานที่อันห่างไกลออกไป และมองย้อนกลับไปในอดีต เพื่อทำความเข้าใจในเอกภพที่เราอาศัยอยู่ได้

ดาวรอบๆ ข้าง อาจมีน้ำ เป็นที่อาศัยมนุษย์ต่างดาว

การค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวจะรู้ได้อย่างไรว่ามีคนพยายามสื่อสาร ท่ามกลางสัญญาณวิทยุ ยกตัวอย่างในงานปาร์ตี้มีเสียงดังมาก แต่มีคนหนึ่งพยายามจะพูดกับเราจนเสียงเบามาก เพราะฉะนั้นแล้วจะต้องแยกกันในการส่งสารในรูปแบบที่เราคุ้นเคย หรือถ้าจะคุยกับมนุษย์ต่างดาว อาจเป็นสัญญาณที่ไม่คุ้นเคย ไม่สามารถเข้าใจได้ และหากค้นพบสัญญาณในที่ห่างไกล ไม่ได้หมายถึงจะพบสิ่งมีชีวิตต่างดาว แต่ควรค้นหาในกาแล็กซี่จะดีกว่า และถ้าเป็นดาวรอบข้างอาจมีหวังจะเจอสิ่งมีชีวิตต่างดาวก็ได้ อาจอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากโลกของเรา

“มนุษย์ต่าวดาวมีจริงเป็นความเชื่อส่วนตัว ขึ้นอยู่กับหลักฐาน หากไม่หาก็ไม่เจอแน่นอน หากหาไม่เจอ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพราะวิทยาศาสตร์ต้องอิงตามหลักฐาน แต่มีความเป็นไปได้ในกาแล็กซี เพราะมีดาวฤกษ์แสนล้านดวง และในดาวฤกษ์เกินครึ่งหนึ่ง มีดาวเคราะห์รอบๆ อยู่ บางดวงอาจมีน้ำเป็นของเหลว และถ้ามีน้ำ ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงกับโลกเราได้ อาจพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญา นำไปสู่คำถามและปริศนาที่น่าสนใจว่า หากมีสิ่งชีวิตต่างดาวเยอะมาก ทำไมไม่เจอ ก็มีคำอธิบายหลายอย่าง อาจเคยมีเยอะ และอาณาจักรอาจสลายไป ตามวิวัฒนาการของอารยธรรมต่างดาวที่หมดอายุขัย หรืออาจตายไปแล้ว”

...

เมื่อดูจากอารยธรรมของมนุษย์ที่เริ่มส่งสัญญาณออกไปยังห้วงอวกาศ มีการค้นพบคลื่นวิทยุ จนนำมาใช้ในการส่งสัญญาณสื่อสารบนโลก ซึ่งส่วนหนึ่งได้หลุดลอยออกไปและเดินทางข้ามห้วงอวกาศลึก หรืออาจกำลังถูกดักฟังโดยสิ่งมีชีวิตต่างดาว และอาจกำลังติดต่อเรามาด้วยวิธีที่ใกล้เคียง ทำให้การหาสัญญาณจากต่างดาวที่ส่งมาในช่วงคลื่นวิทยุ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค้นหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว

หากสามารถตรวจพบสัญญาณเหล่านั้น และจะสามารถทราบได้หรือไม่ ว่านี่เป็นสัญญาณที่มาจากต่างดาว และเมื่อสามารถระบุที่มาของสัญญาณได้แล้ว จะสามารถทำความเข้าใจในสาร และข้อความที่ถูกส่งมาได้หรือไม่ เป็นความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เพราะเรายังไม่เคยได้ตรวจพบสัญญาณที่มาจากต่างดาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังทำมานานหลาย 10 ปี

กรณีองค์กร SETI เหมือนเป็นการซ้อมใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาคุยกันตลอด แต่ไม่เคยเจอหลักฐาน ก็ต้องทำการทดลอง ตรวจสอบด้วยเทคโนโลยี ซึ่งไม่ได้หมายถึงการใช้อุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสื่อสารต่างๆ ของมนุษย์ หากวันหนึ่งเจอสัญญาณ จะต้องมีนักภาษาศาสตร์ นักชีววิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา เข้ามาร่วมพิสูจน์ตีความรหัสตามที่สัตว์มีชีวิตจากต่างดาวได้ส่งมา เหมือนกับที่เราพยายามจะสื่อสารกับพวกเขาเหล่านี้.


ภาพจาก : สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, SETI Institute