แค่ประเด็นเดียวก็เสียวแทน!

คำร้องที่บรรดานักร้องยื่นให้องค์กรอิสระต่างๆ พิจารณาวินิจฉัยว่ามีความผิดหรือไม่เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชออกมาแล้ว

กกต.โดย “แสวง บุญมี” เลขาธิการ ได้เปิดเผยว่า ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองได้พิจารณา 6 คำร้องที่ให้ กกต.พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

จากเหตุ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการครอบงำ ชี้นำ และ 6 พรรคการเมืองยินยอมให้นายทักษิณครอบงำชี้นำ

โดยเห็นว่าคำร้อง “มีมูล”!

จึงให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จใน 30 วัน หากไม่เสร็จให้ขยายเวลาได้อีก 30 วัน

โดยผู้ร้องได้อ้างถึงพฤติการณ์ของ “ทักษิณ” และ 6 พรรค

การเมืองได้ร่วมประชุมกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี

การให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” หลายครั้งเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล

การชี้นำ “เพื่อไทย” ในการเลือกพรรคร่วมรัฐบาล การนำวิสัยทัศน์มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล

โดยผู้ร้องเห็นว่าเข้าข่ายขัด ม.26 เป็นการครอบงำพรรค ไม่ว่า

ทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่ง “เพื่อไทย” และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยินยอมให้บุคคลผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ ชี้นำ

จากการสอบสวนพบว่าเป็นความผิดก็จะเป็นเหตุให้นายทะเบียน

พรรคเสนอต่อ กกต.ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “ยุบพรรค” ตามม.92(3)

ก็เป็นความคืบหน้าอีกเรื่องหนึ่งหลังจากข่าว “ดิ ไอคอน” แชร์ลูกโซ่กลบข่าวการเมืองมาหลายวัน ที่ล่าสุด 18 บอสถูกจับเข้าคุกพอดี

...

เรียกว่าเป็น “ข่าวรับข่าว” ทำให้ประชาชนได้ลุ้นกันต่อ

แต่ว่าเรื่องการ “ยุบพรรค” นั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทาง

การเมืองยิ่งเกี่ยวกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค “เพื่อไทย” ด้วย

หากผิดจริงก็ต้องไปกันทั้งพวง...

พิจารณาจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งในวันนั้น บรรดาตัวแทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็ทยอยเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า

เบื้องต้นมีข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังคงร่วมกันทำงานต่อไป โดยจะให้ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตจาก “เพื่อไทย” เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่อีกวันพรรค “เพื่อไทย” มีมติให้ “แพทองธาร” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นแทนก็เป็นปัญหาพัลวันกันนิดหนึ่ง

แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยเหมือนมี “ใบสั่ง” ให้เป็นไปอย่างนั้น

การที่ กกต.ระบุเบื้องต้นว่าคดี “มีมูล” ก็คงสันนิษฐานจากความเป็นไปที่เกิดขึ้นเพียงแต่ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ลึกลงไปมากกว่านั้น

พูดง่ายๆว่ามีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้าง

ก็ต้องแกะรอยกันต่อไปคงจะได้พบอะไรเป็นอะไร

แน่นอนว่าแกนนำ “เพื่อไทย” ต่างก็ออกมายืนยันไปในทางเดียวกันว่าไม่มีอะไรน่าห่วงน่ากังวล เพราะมั่นใจว่าไม่มีพฤติกรรมดังข้อกล่าวหา

ก็ไปกินข้าวกันเป็นเรื่องปกติ

แต่ในใจคงเครียดไม่น้อย เพราะพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันมี “ร่องรอย” ปรากฏที่พอจะสันนิษฐานได้

พูดง่ายๆว่าเกิดอาการ “ปากกล้าขาสั่น” มากกว่า

แก้ต่างให้ดีก็แล้วกันเพราะมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม