หลังจากมีชีวิตโลดแล่นในธุรกิจวัตถุมงคลและโฉบเฉี่ยวในวงการบันเทิงเพราะให้การช่วยเหลือดาราชายหลายคนด้วยเงินหลักสิบหรือหลักร้อยล้านบาท แต่วันที่เขาจากไปเขามีเงินติดตัวเพียง 200 บาท

เรื่องราวชีวิตผกผันดั่งกับละครของ "เสี่ยอู๊ด" หรือ นายสิทธิกร บุญฉิม นามนี้...บางคนติดตรึงอยู่ในใจ แต่บางคนกลับไม่อยากได้ยิน วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้เจาะใจญาติสนิท มิตรสหาย ครูบาอาจารย์ และอดีตนักเรียนทุนที่เคยได้รับเงินสนับสนุนนับแสนบาทเพื่อการศึกษา

เรื่องเล่าจากญาติสนิท จากรุ่งเรือง...สู่ร่วงโรย เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

นายยศกร สุขเจริญ น้าเขยของเสี่ยอู๊ดขยายเรื่องราวชีวิตว่า สาเหตุที่ไม่ทำตามเจตนารมณ์ (คำสั่งเสียให้เผาศพทันที) เพราะเห็นว่าเสี่ยอู๊ดเป็นคนสำคัญ ยังมีญาติพี่น้องที่ยังรักเขาอยู่ จะให้ทำแบบผีไม่มีญาติไม่ได้....

...ผมรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กเขาเป็นคนชอบนั่งเหม่อลอย แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา พอเริ่มโตก็มีความคิดแตกต่างจากพี่น้อง ซึ่งครอบครัวเขามีพี่น้อง 5 คน อู๊ดเป็นคนที่ 3 พอเริ่มโต เขาก็ย้ายไปอยู่กับ อาอี้ ซึ่งเขาเรียกว่ายาย จากนั้นก็นำไปฝากไว้กับหลวงพ่อที่วัดสุทัศนเทพวราราม หลวงพ่อที่วัดสุทัศน์ก็จะนำเขาไปฝากที่วัดคลองเตยใน จากนั้นเขาก็เดินทางชีวิตในเส้นทางที่เขาเลือกเองไปเรื่อย ๆ

...

“เด็กๆ เห็นเขาชอบดูพระเครื่อง ชอบออกแบบ ชอบคิด ในเชิงทางพระอย่างเดียว ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้รวยอะไร ก็ถือว่าต่างคนต่างทำงาน แต่เมื่อเขารวย เขาก็ทำบุญเยอะสร้างอาคารปริยัติธรรม ศูนย์เด็กเล็ก สร้างโรงพยาบาล มอบเงินให้กับนักเรียนที่ยากจน ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่คิดถึงตัวเองเลย บ้านช่องที่เป็นของตัวเองก็ไม่มี ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้เขาซื้อที่เพื่อสร้างบ้าน แต่เขาก็ปฏิเสธบอกว่า “ผมยังไม่คิดที่จะเอาเงินไปซื้อพวกนี้ อยากจะเอาเงินไปช่วยสาธารณประโยชน์ต่างๆ” เขาคิดอยู่แค่นี้ 

“เวลากลับบ้านมาเยี่ยมญาติ เขาไม่เคยให้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกับพี่น้อง ถามว่าให้บ้างหรือไม่...ก็ให้บ้างในช่วงเทศกาล เช่นเงินสด 2-3 แสน แต่ก็ไม่ได้ให้เพื่อให้ไปตั้งตัว อย่างเช่น พี่ชาย น้องสาว ให้คนละ 1 แสน ขณะเดียวกัน เขาเองก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากทางญาติ มีโอกาสก็พาญาติไปเที่ยวทำบุญ เช่น ไปไหว้พระธาตุ” นายยศกร กล่าว 

เงินสดผ่านมือเยอะสุด ไม่กี่ชั่วโมง 60 ล้าน

ญาติสนิทเสี่ยอู๊ดที่คอยดูแลทั้งยามสุขและยามยาก ยังเล่าถึงตอนที่เขามีเงินเข้ามาในชีวิตมากที่สุด ว่า เท่าที่เคยสัมผัสตอนนั้นเขาเปิดให้เช่าเหรียญนามสกุล ที่วัดหลวงพ่อโสธร แค่ไม่กี่ชั่วโมงมีเงินผ่านเข้าไปกว่า 60 ล้าน แต่ถามว่าเขามีทรัพย์สินอะไรที่ตีเป็นมูลค่าได้หรือไม่นั้น บอกเลยว่าไม่มี แล้วทำไมถึงชอบช่วยเหลือคนอื่น....ลึกๆ แล้ว เขาเป็นคนที่ขาดโอกาสในการเรียน ขาดโอกาสในหลายๆ อย่างตอนเด็ก เขาถึงคิดจะทำบุญ ช่วยงานสาธารณกุศล ให้โอกาสเด็กได้เรียนไม่อยากให้เป็นเหมือนตัวเองในตอนเด็กๆ

เจอหน้าครั้งสุดท้าย 2 สัปดาห์ก่อนลาจากตลอดกาล

นายยศกร เล่าต่อว่า 2 สัปดาห์ก่อนอู๊ดเสีย เขาเข้ามาหาผมที่บ้านกับอาอี้ที่บ้าน จ.ระยอง ท่าทางการพูดคุยปกติ คือ ติดตลกโปกฮา ไม่มีทีท่าเครียด แต่ก็เปรยว่า “ผมฝากด้วยแล้วกัน ผมทิ้งหนังสือไว้ฉบับหนึ่งที่น้องชายคนเล็ก หากผมเป็นอะไรไปตรงไหนก็เผาตรงนั้น อย่าเอาผมกลับมาบ้านเกิด” เขาพูดลักษณะว่าไม่อยากให้เอากลับมาเพราะจะทำให้ทางบ้านเดือดร้อน ที่ผ่านมาอู๊ดเริ่มพูดแบบนี้สมัยตอนถูกจองจำ ซึ่งตอนนั้นก็พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เขาเองก็กินยาในลักษณะนี้ แต่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัวรักษาที่โรงพยาบาล ก็หาย ในตอนนั้นเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกับตอนนี้ เพราะตามองค์กรต่างๆ ที่เขาเคยช่วย ไม่ได้มาดูดำดูดีหรือช่วยเลย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกน้อยใจอย่างมาก

“ทุกวันนี้คนที่เคยช่วยเหลือก็ยังไม่มา มีเพียง ส.จ. ท่านหนึ่งที่ทางอู๊ดเคยช่วยไว้บอกว่าจะเป็นเจ้าภาพงานศพ ส่วนดาราหรือคนดัง เราเองก็ไม่อยากจะรื้อฟื้น บางคนผมขับรถไปส่ง บางคนมากินข้าวบ้านผม เวลาเขารู้จักกับดาราคนไหนเขาก็จะพามากินมานอนบ้านผม....ผมเองก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กัน คือ ทำไมถึงทำกับอู๊ดแบบนี้ ทั้งที่เคยช่วยเหลือเขามาตลอด ความรู้สึกคือ ทั้งเสียใจและโมโห ตอนที่เขาดีๆ อยากได้อะไรก็จัดให้ บ้านหลุดจากธนาคารก็ส่งทนาย ส่งคนบริษัทไปประมูล จากนั้นก็ให้เป็นของขวัญวันเกิด แต่พอมาวันนี้ ไม่รู้จัก หลายๆ คนผมพาไปทำบุญที่วัดนิยม ชื่อ “วัดนิยม” ก็เลยพาดาราไปทำบุญวัดนี้เพื่อให้ได้รับความนิยม แต่ผลที่กลับมา บอกว่าไม่รู้จัก ไม่เคยติดต่อ”

...

เรื่องเงินหมด ยังเป็นปริศนา ฝากใครหรือไม่...ไม่รู้!?

นายยศกร กล่าวต่อว่า เรื่องเงิน...ไม่มีใครทราบว่าหมดไปกับอะไร ตั้งแต่ออกจากเรือนจำเขาไม่ได้ทำงานอะไรเลย เขาก็คงใช้เงินที่เขาเคยเก็บไว้ แต่เขาไม่เปิดเผยว่าเงินอยู่ที่ใคร เมื่อออกจากเรือนจำมาก็พาพวกผมไปเที่ยวหลายจังหวัด ที่ทำแบบนี้เขาคงคิดว่ามีผมกับอาอี้ ที่คอยช่วยเหลือตอนที่เขาอยู่ในเรือนจำ อยากได้อะไร กินอะไรเราก็จัดให้เขาตลอด 5 ปี น้ำท่วมผมก็แบกอาหารเข้าไป

“สิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเขาตลอด คือ สิ่งที่เขาทำ คือ ความดี ที่มีต่อญาติพี่น้อง เด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือ” ญาติสนิทเสี่ยอู๊ด กล่าวทิ้งท้าย

มอบทุนการศึกษาต่อเนื่อง 57 คน จบป.ตรี-หมอ

ด้านคนใกล้ชิดที่เคยดูแลเรื่องการมอบทุนการศึกษา นางดารุณ คงทรัตน์ อาจารย์โรงเรียนบ้านฉางกาญจนกูลวิทยา ผู้ประสานงานเรื่องการมอบทุนให้กับนักเรียนที่นายสิทธิกรเคยให้ กล่าวว่า ด้วยความใจบุญและอยากช่วยเหลือเด็ก อู๊ดได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 โดยมีกฎการคัดเลือก 3 ข้อ คือ 1.ต้องเป็นคนระยอง 2.เป็นทุนเรียนดี ประพฤติดี และ 3.เรียนดี แต่ยากจน ซึ่งจะมีการสอบและมอบทุนที่โรงเรียนบ้านฉางฯ ทุนนี้มีการให้ต่อเนื่องมาตลอด กระทั่งตอนที่ติดคุกจากนั้นก็เลยติดขัด เนื่องจากเงินถูกอายัด จากนั้นเมื่อเงินถูกปลดอายัด ก็นำบางส่วนมาแจกต่อ มีอยู่รายหนึ่ง เป็นเด็กนักเรียนยากจนอยากเป็นครูมากได้โทรมาถามไถ่กับตน เมื่อนายสิทธิกรทราบ ยังส่งมอบเงินมาให้เพื่อให้เรียนจบ ทุกวันนี้เป็นครูไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนแพทย์ ที่นายสิทธิกรมอบทุนจนเรียนจบการศึกษาไปแล้ว คือ นพ.พิริยะ พิบาลกุล, พญ.ปาริฉัตร มีประเสริฐ

...

อดีตนักเรียนทุนเผย ได้เงินกว่าแสน วันนี้ได้งานยังสำนึกบุญคุณ

ขณะเดียวกัน นายเบน อดีตนักเรียนทุนที่ได้รับการช่วยเหลือจากเสี่ยอู๊ด เผยว่า ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนนวลจันทร์วิทยา ที่ จ.ระยอง คุณสิทธิกร ได้เปิดให้ไปสอบชิงทุนในหัวข้อ “เรียนดี มีคุณธรรม” ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 ซึ่งเป็นจังหวะที่พ่อเพิ่งเสีย เมื่อไปสอบก็ได้ทุน โดยได้รับเงินเดือนละ 2,000-3,000 บาท ซึ่งถือเป็น 1 ใน 57 คน (มีทั้งหมด 4 รุ่น) แต่พอคุณสิทธิกรถูกจองจำ เงินก็ขาดช่วง แต่ก็ยังให้ได้บางโอกาส เช่น วันสงกรานต์ หรือ วันเกิด ก็จะให้เป็นก้อน โดยแกให้คนของแกมามอบทุนให้คนละ 2 หมื่นบาท

“ทุนที่ให้แกไม่ได้บอกว่าจะให้ถึงเมื่อไหร่ แค่บอกว่าใครตั้งใจเรียนถึงไหนก็จะให้จนจบ ซึ่งหากคำนวณแล้วน่าจะได้ทุนการศึกษาแสนกว่าบาท ตอนนี้ผมเรียนจบที่สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ตอนนี้ทำงานได้ 2 ปีแล้ว ทุกวันนี้ยังนึกถึงพระคุณของคุณสิทธิกรอยู่ ตัวผมเองตั้งใจจะไปงานศพในวันศุกร์นี้ ส่วนใครที่เคยได้รับบุญคุณก็อยากให้ไปส่งแกเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนจะไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคน...” อดีตนักเรียนทุนเสี่ยอู๊ด กล่าวทิ้งท้าย

...

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ตรวจสอบไปยัง พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ถึงการอายัดทรัพย์เสี่ยอู๊ดในปี 2556 ว่า คดีฉ้อโกงประชาชน ในการจัดสร้างสมเด็จเหนือหัว ในขณะนี้คดีได้ถึงที่สุดแล้ว ซึ่ง ปปง. ได้ยึดเงินจากบัญชีธนาคารของเสี่ยอู๊ดทั้งหมด 4 บัญชี รวมทั้งสิ้น 23 ล้านบาท โดยมาจากบัญชีธนาคารทหารไทย 9,300,000 บาท และบัญชีธนาคารนครหลวงไทยอีก 6,900,000 บาท ซึ่งสองบัญชีนี้ ปปง. ได้ส่งเงินคืนให้แก่กระทรวงการคลังไปแล้ว สำหรับธนาคารกรุงไทยจำนวน 7,200,000 บาท และธนาคารออมสินอีก 200,000 บาท กำลังอยู่ในขั้นตอนส่งเงินให้กับ ปปง. ซึ่งหากได้คืนแล้ว ปปง. ก็จะส่งคืนให้กับกระทรวงการคลังต่อไป

ทั้งหมดคือเรื่องราวของอดีตนักสร้างพระชื่อดังที่กลายเป็นตำนานอีกบทของหน้าประวัติศาสตร์ของไทย ที่ตัดสินใจลาโลกด้วยมือตนเอง...