หากไม่นับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป ในศึกชิงบัลลังก์ทำเนียบขาว จนทำให้เจ้าตัวถึงกับต้องหล่นวาทะ ....
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย สำหรับดิฉัน ....ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉัน อยู่แต่กับหนังสือและสุนัข โดยที่แทบไม่อยากจะออกมาจากบ้านเลย”
อีก 1 เรื่อง ที่ทำให้ นางฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน สุภาพสตรี ผู้หวิดจะได้เป็น Madam President คนแรกในประวัติศาสตร์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอย่างที่สุดอีก 1 เรื่อง คงหนีไม่พ้น เรื่องที่ สามี MR.President ตัวดี ไปก่อวีรเวร ทางกามารมณ์ ใน เอ่อ....... ทำเนียบขาว สถานที่ราชการสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
อืม...ทำเนียบขาว สถานที่ ที่อเมริกันชนทั้งผองภาคภูมิใจ บ้านของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา สถานที่สำคัญ ที่จะถูกใช้สำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ของประเทศที่ถูกห่มไปด้วยทุกอณู แห่งเสรีภาพ ภราดรภาพ ประชาธิปไตย และการยอมรับเสียงส่วนใหญ่
ใครจะเชื่อว่า ชายหนุ่มรูปหล่อ มากเสน่ห์และความรู้ แถมนั่งกุมตำแหน่งทรงอำนาจ ถึงขนาด หากตัดสินใจกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวก็สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้ ....
จะไปทำอะไรเลยเถิดกับ หญิงสาว ที่เวลานั้น อยู่ในสถานะเพียง “เด็กฝึกงาน” ซ้ำ ยังถูก อดีตสุภาพสตรีหลายเลข 1 ตราหน้าว่า “เป็นพวกงี่เง่าที่หลงตัวเอง”
....แต่หากใครไม่เชื่อ …..
ก่อนจะเหวี่ยงสายตาลงไปอ่านในบรรทัดต่อไป ขอแนะนำว่า ลองไปใช้ อากู๋ ค้นหารูปเก่าๆ หรือ ดูรูปสมัยวัยหนุ่ม ของ MR.President ผู้นี้ ที่อยู่ด้านล่างนี้ดีกว่า ว่า .....MR.President นามว่า วิลเลี่ยม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน ที่ 3 นั้น ทรงเสน่ห์อย่างล้นเหลือกับเพศตรงข้ามมากมายขนาดไหน?
...
เอาล่ะ .... ก่อนที่จะเล่าต่อไป?
อยากให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ทุกท่าน ลองจินตนาการไปพร้อมๆ กันก่อนว่า หากคุณถูก Barbara walters นักข่าวสาวและพิธีกรชื่อดังที่สุดคนหนึ่งของโลก (หากนึกไม่ออก Barbara walters คือใคร....ให้จินตนาการว่า คุณ กำลังถูก เจ๊ยุ ยุวดี ธัญญสิริ หรือ เจ๊ฟอง ฟองสนาน จามรจันทร์ สุดยอดนักข่าวสาวของสยามประเทศ) จ้องหน้าเขม็งแล้วถามด้วยประโยคเชือดใจ ในรายการสัมภาษณ์ ที่มีเรตติ้งการรับชมสูงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอเมริกา … ซึ่งว่ากันว่า มีอเมริกันมุงให้ความสนใจรับชม ณ เวลา นั้น มากถึง 75 ล้านคน ว่า...
หากคุณมีลูก ....คุณจะบอกลูกว่าอย่างไร... เกี่ยวกับสัมพันธ์ที่ไม่ปกติกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา?
เจอคำถามแบบนี้ เป็นคุณ .....คุณจะตอบว่าอย่างไร?.... ทดคำตอบไว้ในใจกันก่อน แล้ว ประเดี๋ยวตอนท้ายของสกู๊ปชิ้นนี้ จะมาเฉลยทุกท่าน ภายหลังว่า สาววัย 20 ต้นๆ ในเวลานั้น คือ โมนิก้า ลูวินสกี้ หรือ คนงี่เง่าที่หลงตัวเอง ตามคำนิยาม ของ ผู้เฉียดจะได้เป็น Madam President ….จะตอบว่าอย่างไร?
เอาล่ะ! เราไปมุดรั้วทำเนียบขาว ย้อนรอยความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ ระหว่าง MR.President กับ เด็กฝึกงานทำเนียบขาว ภายในห้องทำงานรูปไข่ กันดีกว่า...
เรื่องสุดอื้อฉาวคาววิปริตกามารมณ์ มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันชน จนหวิดทำให้ MR.President ตกเก้าอี้ มันเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 3 ต.ค.1997 เมื่อสาวสวยวัยขบเผาะ โมนิก้า ลูวินสกี้ วัย 23 ปี เด็กฝึกงานของทำเนียบขาว โทรศัพท์คุยกับ เพื่อนสาวคนสนิท ลินดา ทริป เพื่อปรับทุกข์เกี่ยวกับปัญหาความรักของเธอ
หากแต่...ชายที่ทำให้เธอทุกข์ใจนั้น หากใช่ หนุ่มเปล่าเล่าเปลือย หากแต่เป็นชายที่มีภรรยาและลูกแล้ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ชายคนดังกล่าวคือ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แถม ณ เวลานั้น ยังถือเป็นประธานาธิบดีหนุ่มที่มีผลงานดีเด่น ฉุดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังดิ่งเหวหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย ไปสู่ความรุ่งโรจน์ จนครองใจชาวมะกัน ได้รับความนิยมสูงถึง 55% ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ น้อยคนนักที่จะป๊อปปูลาร์มากถึงขนาดนี้ ในยามที่แผ่นดินแห่งเสรีภาพ ปราศจากศึกสงครามภายนอก
แล้วเหตุใดการสนทนาระหว่างสองสาว จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นได้ น่ะหรือ?
...
นั่นก็เพราะ ….ลินดา ทริป ดันแอบอัดเสียงการสนทนาดังกล่าว ที่มีการขุดหลุมล่อให้ ชู้รักของท่านประธานาธิบดี เอ่ยถึง รายละเอียดความสัมพันธ์ทางเพศของทั้งสองคน เอาไว้น่ะสิครับท่านผู้ชม!
และก็ให้บังเอิญเสียเหลือเกินว่า ณ เวลานั้น ….หญิงสาวอีกรายนาม พอลล่า โจนส์ กำลังขึ้นโรงขึ้นศาลในคดีใต้สะดือ กับ ท่านประธานาธิบดีหนุ่ม อยู่พอดิบพอดี
ทนายของพอลล่า โจนส์ ซึ่งกำลังเพียรพยายามหา “พยาน” และ “ข้อมูลต่างๆ” มาสู้คดี ได้ติดต่อไปยัง ลินดา ทริป โดยหวังในตอนแรกเพียงว่า น่าจะได้อะไรดีๆ มาบ้าง เนื่องจากในช่วงนั้น ลินดา ทริป อ้างว่า เคยพบเห็นหญิงสาว ในสภาพหน้าตาผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่ง เดินออกมาจากห้องทำงานของท่านประธานาธิบดีหนุ่ม อย่างน่ามีเลศนัย มาแล้ว
ทุกอย่างจึง โป๊ะเชะ!
แทนที่ ทนาย จะได้เพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก็กลับได้ ข้อมูลอื้อฉาว ช็อกทั้งชาวมะกันและชาวโลกไป แถม ลูวินสกี้ ยังถูกเรียกตัวไปให้การในคดี ของ พอลล่า โจนส์ เสียอีกด้วย คราวนี้ ….. เรื่องใต้สะดือของ MR.President จึงไม่ใช่เรื่องแอบกินกันลับๆ ได้อีกต่อไป
เพราะแม้ ลูวินสกี้ จะให้การในคดี ของ พอลล่า โจนส์ ว่า “เธอมิได้มีสัมพันธ์สวาท” กับ บิล คลินตัน แต่ เทปบันทึกการสนทนาที่ ลินดา ทริป มีไว้ในมือนั้น ลูวินสกี้ ได้ยอมรับว่า ท่านประธานาธิบดี ได้หว่านล้อมให้ ทั้ง ลูวินสกี้ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบางคน พูด “โกหก”
และหลังจากนั้น เมื่อ ลินดา ทริป นำเทปบันทึกเสียงสุดอื้อฉาวนี้ ส่งไปให้กับ เคนเนธ สตาร์ ที่ปรึกษาอิสระ คู่อริของครอบครัวคลินตัน ที่พยายามเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการทำธุรกิจ ของทั้ง บิล และ ฮิลลารี แบบกัดไม่ปล่อยตั้งแต่สมัย บิล คลินตัน ยังเป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ
...
ข้อมูลเด็ดจึงตกอยู่ในมือคนที่ใช่ ในที่สุด!
อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกๆ ที่มีข่าวอื้อฉาวนี้ สื่อมวลชนในอเมริกา ยังไม่สู้ให้ความสนใจนัก เนื่องจากเห็นว่า น่าจะเป็นเพียงข่าวสาดโคลนที่ไร้หลักฐาน ของ วงการเมืองที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งใดในโลก ข่าวทำนองนี้ ก็มีให้เห็นอยู่ดาษดื่นเป็นปกติอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าใครจะถามสักกี่ครั้ง ท่านประธานาธิบดีผู้อื้อฉาว จึงยังสามารถกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำ ด้วยสีหน้าแววตาสุดแข็งกร้าว ว่า ….
“ผมไม่เคยมีสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ หรือ มีเพศสัมพันธ์ กับ ผู้หญิงคนนั้น” อึม…..ไม่…แม้แต่จะเอ่ยถึงชื่อ ของสาวคู่กรณี
แถมส่วนใหญ่ที่ท่านประธานาธิบดี กล่าวประโยควรรคทองนี้ ก็จะมีศรีภรรยาสุดที่รัก ฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน ปรากฏกายประหนึ่งเครื่องการันตีข้อเท็จจริงอยู่เบื้องหลัง เสมอๆ รวมถึง SHE ยังช่วยให้สัมภาษณ์ในรายการดังๆ ของสหรัฐฯ ด้วยว่า เรื่องนี้ …
“เป็นแค่เกมการเมืองของฝ่ายตรงข้าม เพื่อหวังโค่นล้มสามีผู้น่าสงสาร ออกจากตำแหน่ง”
...
และแม้กระทั่ง! ภายใต้การกล่าวคำสัตย์สาบาน ต่อคณะลูกขุนใหญ่ ก่อนตอบคำถามของ ทนายพอลล่า โจนส์ ท่านประธานาธิบดี ก็ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ ลูวินสกี้ เอาไว้ว่า
“ผมไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ กับ โมนิก้า ลูวินสกี้ ผมไม่เคยเป็นชู้กับเธอ”
สองสามีภรรยา มั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเกิน 150%
แต่แล้ว...ทุกอย่าง ก็กลับตาลปัตร! จนแทบทำให้ชายผู้กล้า กล่าวยืนยันหลังการให้คำสัตย์สาบาน ต่อ คณะลูกขุนใหญ่ และสภาคองเกรส ว่า มิได้เป็นชู้กับเด็กฝึกงาน ก็แทบจะต้องหกคะเมนตกจากเก้าอี้ นั่นเป็นเพราะ ไอ้ที่มั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่า มันเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล น่ะ เอา จริงๆ แล้ว มันดันเกิด “มี” ขึ้นมาน่ะสิ!
ก็จะไม่มีไปได้อย่างไร.... ในเมื่อชู้รักท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดันหลงเชื่อเพื่อนรัก ลินดา ทริป เก็บเครื่องแต่งกาย ที่เปื้อนน้ำอสุจิ ของ MR.President
ขณะ….เอ่อ….ทำออรัลเซ็กซ์ให้ท่านผู้นำ เอาไว้จริงๆ!
และที่สำคัญ ลูวินสกี้ ที่ในช่วงแรกยังหลงหัวปักหัวปำ MR.President จนไม่ยอมให้ความร่วมมือ กับ เคนเนธ สตาร์ กลับเปลี่ยนใจยอมเอาเรื่อง ชู้รักของเธอในที่สุด ภายใต้ข้อตกลงที่ว่า เธอจะไม่ได้รับโทษ จากการให้การเท็จ ว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับ บิล คลินตัน ในคดี พอลล่า โจนส์ ก่อนหน้านี้
ฉะนั้นฉะนี้แล..... ชุด Blue Dress ยี่ห้อ GAP หลักฐานชิ้นหนึ่งที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก จึงถูกส่งถึงมือ เคนเนธ สตาร์ ในที่สุด! และที่สำคัญเมื่อ FBI นำไปตรวจสอบ สองสามีภรรยาคลินตัน ที่ยืนกรานปากแข็งมาตลอด ก็แทบจะต้องแทรกแผ่นดินหนี
เพราะชุด Blue Dress เปื้อนน้ำกามอันโด่งดังนี้ มันดันไปมี DNA ของ ท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 42 เข้าจริงๆ แถมชู้รักสาว ยังได้บรรยายพฤติกรรมทางเพศชวนสยิวของท่านผู้นำอย่างละเอียดลออ ว่า เกือบทั้งหมดมันเกิดขึ้นที่ ห้องทำงานรูปไข่ ที่ The white house สถานที่ราชการ เอาเสียด้วย! พลังทำลายจากชุด Blue Dress ที่ยิงเข้าใส่ทำเนียบขาวนี้ มีพลานุภาพการทำลายล้างรุนแรงเสียยิ่งกว่า ขีปนาวุธโทมาฮอว์ก นับพันๆ ลูก ที่สหรัฐฯประเคนเข้าใส่อิรักในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เสียอีก
เท่านี้แหละ! ผู้นำรูปหล่อ จึงต้องจำใจ อ้อมแอ้ม หน้าชาๆ ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ แก้ขวย แต่ก็ทำให้ชาวโลกงงๆ อึ้งๆ ไปตามๆ กันว่า
“ผมได้กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการไปมีสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับ คุณลูวินสกี้ จริง แต่เป็นการสัมผัสอย่างลึกซึ้ง และไม่เหมาะสม แต่มันไม่นับว่าเป็น เพศสัมพันธ์ ตามที่ผมเข้าใจ ในช่วงที่ให้การหลังให้คำสัตย์สาบาน ในคดี พอลล่า โจนส์”
พูดง่ายๆ ให้เข้าใจตามประสาชาวบ้านคือ พ่อเจ้าพระคุณ อ้างว่า เพศสัมพันธ์ คือ การร่วมเพศ ในขณะที่ เพศสัมผัส ที่อ้างถึงนั้น มันไม่รวมถึงการที่ เด็กฝึกงานทำเนียบขาว ทำ ออรัลเซ็กซ์ให้ จนไปเปรอะเปื้อน ชุด Blue Dress สักหน่อยพี่น้องชาวอเมริกัน อืม….. (ขออนุญาตไม่ออกความคิดเห็น)
และแม้จนแต้มดิ้นไม่หลุดถึงขนาดนี้ แต่สองสามีภรรยาคลินตัน หาได้เคยแม้แต่จะเอ่ย ถึงคำว่า “ลาออก” เพื่อแสดงความรับผิดชอบเรื่องอื้อฉาวในสถานที่ราชการ รวมถึงการให้การ ที่ก้ำกึ่งเสียเหลือเกินว่า น่าจะเป็นการให้การเท็จภายใต้คำสัตย์สาบาน ต่อ ศาล ในฐานะ MR.President ของ ประเทศแห่งเสรีภาพ ภราดรภาพ และ ประชาธิปไตย หรือ แม้กระทั่ง ความพยายามเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ด้วยการหว่านล้อมให้คู่ขาสาว และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบางคน “โกหก”
เพราะอะไร สองสามีภรรยาคลินตัน ถึงกล้าลุกขึ้นสู้ต่อน่ะหรือ?
คำตอบ คือ ช่วงนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังอยู่ช่วงขาขึ้น ปากท้องอเมริกันชนอิ่ม จากฝีมือของ MR.President รูปงาม อีกทั้ง การเดิมเหลี่ยมคูของฝ่ายตรงข้าม ที่มุ่งเน้น การนำฉากรักสุดวาบหวิวใต้สะดือ ของ ท่านผู้นำและเด็กสาวฝึกงาน ชนิดละเอียดยิบ ราวกับหนังเรตเอ็กซ์มากเกินไป เพื่อหวังประจานให้อายต่อสาธารณชนมากเกินไป แทนที่จะไปให้น้ำหนัก ในประเด็น เป็นถึงผู้นำประเทศ ที่ “เสรีภาพต้องมาก่อน” แต่กลับโกหกประชาชน ให้การเท็จภายใต้คำสัตย์สาบานต่อศาล และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม มากกว่า
ซึ่งผลของการเดินเกมที่พลาดพลั้ง เพราะมุ่งเรื่องใต้สะดือจนเกินงาม ด้วยการนำรายละเอียดการสอบสวน โดยเฉพาะฉากรักสุดพิสดารในทำเนียบขาวเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนเว็บไซต์ เพื่อหวังให้ สองคลินตัน “ได้อาย”
เรื่องหมิ่นเหม่ศีลธรรมและหลักธรรมาภิบาลของผู้นำประเทศที่เกิดขึ้น ….ในสายตาของอเมริกันชนส่วนใหญ่ จึงเห็นว่า มันเป็นเพียง เรื่องเม้าท์มอยใต้สะดือ ที่แสนสนุกปาก ประหนึ่ง….มันก็แค่ ผู้ชายคนหนึ่งเกิดไปมีชู้กับผู้หญิงในที่ทำงาน ก็แค่นั้น! และในเมื่อเจ้าตัวยอมรับ และไม่อายที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อมันก็จบมั่ง ไม่เห็นเป็นอะไร!
…… พูดง่ายๆ ผลงานที่ทำไว้ กลายเป็นเกราะป้องกัน บิล คลินตัน ไปซะงั้น!....
แบบนี้ ก็ได้หรือ....?
เอาล่ะ! เมื่อท่านผู้นำเมินเฉย แถมยังจัดอีเวนต์ ควง สุภาพสตรีหมายเลข 1 ไปปรากฏตัวต่อสาธารณชนตามสถานที่ต่างๆ เพื่อ “สร้างภาพ” ครอบครัวสุดอบอุ่น และภรรยาแสนดีผู้พร้อมจะให้อภัยสามีผู้มักมากสุดถี่ในช่วงนั้น
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง …….มีเสียงซุบซิบนินทาจากบรรดาทีมงาน ว่า ท่านผู้นำคลินตัน ต้องนอนที่โซฟาชั้น 2 ของทำเนียบขาว แทนที่จะเป็นเตียงในห้องนอน นานกว่า 3 เดือน ในช่วงที่เกิดเรื่องอื้อฉาว ขณะที่ ฝ่ายภรรยา ถึงขนาดสั่งพ่อครัวทำเนียบขาว ทำ mocha cake ของโปรดมากินแก้เครียดหลายชุด และในคราวหนึ่งเมื่อความเครียดพุ่งสูงถึงขีดสุด The first lady ถึงกับต้องออกปาก กับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวว่า
“I want to go to the pool but I don't want to see anybody except you”
เมื่อเจอหมากเกมนี้.....เคนเนธ สตาร์ ที่ปรึกษาอิสระคู่อาฆาตตระกูลคลินตัน จึงหอบเอกสารหลักฐานกองเท่าภูเขา ที่ประกอบด้วย กิจกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม 10 ครั้ง และข้อกล่าวหาที่มีสาระสำคัญๆ เช่น การให้การเท็จ การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และความบกพร่องในการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การหลอกลวงชาวอเมริกันเรื่องกิจกรรมทางเพศ ส่งต่อไปยัง สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการ อิมพีชเมนต์ (Impeachment) ขับออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี
พร้อมกับคำสำทับสำคัญ...ที่ว่า
“หากเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องชู้สาว เช่นนั้นแล้ว คดีวอเตอร์เกต (คดีที่ อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน สั่งคนไปขโมยข้อมูลการหาเสียงคู่แข่งที่สำนักงาน แต่ต่อมาถูกจับได้ว่าพูดโกหกจนต้องลาออก เพื่อหนีการถูก Impeachment ในที่สุด) ก็คงเป็นเพียง คดีย่องเบาธรรมดาๆ เท่านั้น”