มาร์เวล สตูดิโอ บริษัทในเครือของดิสนีย์ ยักษ์ใหญ่ผู้สร้างสื่อบันเทิงระดับโลกประกาศผ่านสื่อสังคมออนไลน์เว่ยป๋อของจีนถึงกำหนดวันฉายภาพยนตร์ใน “โรงภาพยนตร์จีน” เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี ประเดิมด้วย “แบล็ก แพนเธอร์ : วาคานดา ฟอร์เอเวอร์” ในวันที่ 7 ก.พ. หลังจากออกฉายทั่วโลกมาแล้วตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ต่อด้วย “แอนต์–แมน แอน เดอะ วอสพ์ : ควอนตัมเมเนีย” ในวันที่ 17 ก.พ.พร้อม กำหนดลงโรงภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ หลังจาก “สไปเดอร์-แมน : ฟาร์ ฟรอม โฮม” เป็นเรื่องสุดท้ายของมาร์เวลที่ฉายในจีนเมื่อเดือน มิ.ย.2562

ปีที่แล้วรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของจีนลดลงจากปีก่อนประมาณ 36% ลงมาอยู่ที่ระดับ 4,350 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 143,908 ล้านบาท) ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหลักมาจากการแพร่ระบาดและมาตรการควบคุมโควิด-19 อันเข้มงวด ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงอย่างหนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้จีนเคยแซงหน้าอเมริกาเหนือ ครองแชมป์ตลาดภาพยนตร์ขนาดใหญ่สุดในโลกเมื่อปี 2563 และ 2564 ขณะที่บรรยากาศฝั่งทวีปอเมริกา เหนือกลับคึกคัก สวนทางอย่างชัดเจน ทำรายได้ปิดปี 2565 ที่ประมาณ 7,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 248,175 ล้านบาท) เติบโตจากปีก่อนถึง 64%

ที่ผ่านมาแม้หน่วยงานที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีนไม่เคยให้เหตุผลของการแบนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์มองว่า อาจมาจากปัจจัยกระตุ้นบางประการ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ ผลักดันและ ให้ความสำคัญกับภาพยนตร์จีนเป็นหลัก รวมถึงความพยายามเซ็นเซอร์ ภาพยนตร์ที่มีมุมมองเชิดชูสหรัฐฯ และต่อต้านจีน ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างทั้ง 2 ชาติ หรือเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ กลุ่มหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ไปจนถึง การเหยียดเชื้อชาติ

...

นักวิเคราะห์ยังมองว่า การเซย์เยสไฟเขียวให้ภาพยนตร์จากมาร์เวล สตูดิโอเข้าฉายในจีนได้ครั้งนี้ อาจมาจาก “กำลังภายใน” และ “บารมี” ของ “บ็อบ ไอเกอร์” ผู้พลิกดิสนีย์ให้กลายเป็นอาณาจักรบันเทิงทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ที่เพิ่งหวนสู่ตำแหน่งซีอีโออีกครั้งเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ไอเกอร์ได้ชื่อว่ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นซี้ปึ้กกับรัฐบาลจีน ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสื่อจับจ้องว่าอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกตำแหน่งทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีนมาแล้ว

อย่างไรเสีย ผู้บริหารอุตสาหกรรมบันเทิงยังต้องลุ้นรายได้กันต่อไป ในเมื่อโควิดยังไม่เลิกระบาดในจีน.

อมรดา พงศ์อุทัย