อัยการสูงสุด สั่งฟ้องแล้ว “3 หนุ่มนราธิวาส” วางระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ-สนง.กลาโหม 11 ข้อหา หนักก่อการร้าย-อั้งยี่ซ่องโจร ศาลอาญา นัดตรวจหลักฐาน 16 ธ.ค.นี้

วันที่ 8 พ.ย. นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาสั่งคดีระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และพื้นที่ กทม. - อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค.62 โดยพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการเมื่อวันที่ 24 ต.ค.62 ว่า นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด พิจารณาสำนวนแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 (คดีที่การกระทำความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดต้องเป็นผู้สั่งคดี) มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกข้อหา โดยส่งสำนวนให้อัยการสำนักงานคดีอาญา 6 รับผิดชอบการร่างคำฟ้องคดีและได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาไปแล้วเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา มีจำเลย 3 คนซึ่งจำเลยดังกล่าวถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ โดยการสั่งคดีและยื่นฟ้องนั้นอยู่ในช่วงกำหนดฝากขังสุดท้ายพอดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าว พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี เป็นจำเลยที่ 1, นายวิลดัน มาหะ อายุ 27 ปี จำเลยที่ 2 และนายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ อายุ 27 ปี จำเลยที่ 3 ทั้งสามภูมิลำเนา จ.นราธิวาส ในความผิดรวม 11 ข้อหา ฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ โดยมีความมุ่งหมายสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, อั้งยี่ ตามมาตรา 209, ซ่องโจร มาตา 210, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 288, 289 (4), ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ตามมาตรา 221, 222, ร่วมกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 224 วรรคสอง, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นและโรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้า ตามมาตรา 221, 222 ประกอบมาตรา 217, 218, พาอาวุธ (ระเบิด) ไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 371, ร่วมกันทำ ใช้ มีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ มาตรา 4, 38, 55, 78 และมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 5, 15, 42

...

ระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 31 ก.ค.- 1 ส.ค.62 จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 18 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง มีพฤติการณ์สมคบเป็นอั้งยี่-ซ่องโจร เข้าเป็นสมาชิกคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง โดยสมคบร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย พยายามฆ่าหรือฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เหตุเกิดที่ประเทศมาเลเซีย, อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และแขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ เกี่ยวพันกัน และระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค.62 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและอันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายเสรีภาพของผู้อื่นซึ่งจำเลยกับพวกร่วมทำและมีวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง-ระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง 7 ลูกที่ประกอบระบบไฟฟ้า ใช้วงจรเวลาจุดระเบิด ประกอบวัตถุระเบิดชนิด PETN ใส่ในกระป๋องมันฝรั่งและกล่องน้ำผลไม้ มีโลหะลูกปรายหรือลูกเหล็กกลมเป็นสะเก็ดระเบิดซึ่งไม่มีใช้ในราชการ รัศมีอันตราย 10-15 เมตรจากจุดระเบิด ซึ่งพวกจำเลยแยกย้ายแบ่งหน้าที่กันทำนำวัตถุระเบิดนั้นไปวางตามสถานที่ราชการ-ทางสาธารณะที่มีผู้สัญจรไปมา รวมทั้งอาคารห้างสรรพสินค้าในเขตท้องที่ กทม.และนนทบุรี โดยวันที่ 1 ส.ค.62 พวกจำเลยนำระเบิด 2 ลูก ไปที่ ถ.พระรามที่ 1 หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กทม. แต่ไม่บรรลุผลการระเบิดเนื่องจากมีบุคคลพบเห็นแล้วแจ้งเหตุให้เจ้าพนักงานเก็บกู้ได้ทัน

ขณะเดียวกันระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค.62 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกนำระเบิดไปวางไว้ที่หน้าป้ายชื่อสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถ.ศรีสมาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จนทำให้เกิดระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้ป้ายชื่อสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับความเสียหาย และช่วงวันดังกล่าว ยังนำระเบิด 4 ลูกไปที่ ถนนศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อาคาร B รัฐประศาสนภักดี และด้านหน้ารั้ว อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะ ซอย 7 แขวงทุ่งสอง เขตหลักสี่ กทม. ซึ่งเป็นการนำอาวุธไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุสมควร นอกจากนี้จำเลยทั้งสามกับพวก ยังได้ทำการก่อการร้ายแบบนี้ทั้งหมด 47 ครั้ง เหตุเกิดที่ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ, แขวงทุ่งสองห้อง เขตแจ้งวัฒนะ กทม., ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดของกลางได้ ระหว่างวันที่ 2-10 ส.ค.62 และจับกุมจำเลยทั้งสามได้วันที่ 13 ส.ค., 2 ก.ย.62 ชั้นสอบสวนทั้งสามให้การปฏิเสธ

ขณะที่ ศาลอาญารับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2913/2562 และได้เบิกตัวนายลูไอ แซแง, นายวิลดัน มาหะ และนายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ จำเลยที่ 1-3 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และสอบคำให้การแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลจึงกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.