ดูเหมือนว่า Nvidia ผู้ผลิตชิปประมวลผล AI ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งกำลังแบกรับความคาดหวังของนักลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับ AI ในฐานะเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนมูลค่าของตลาดหุ้นในปีนี้
เมื่อวันพุธ (4 ก.ย.) DOJ กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เตรียมดำเนินการสอบสวน Nvidia ข้อหาผูกขาดตลาดชิป โดยมีเนื้อหาที่ประกอบการยื่นคำร้องที่ระบุว่า Nvidia ทำให้ซัพพลายเออร์ชิป AI รายอื่นทำธุรกิจยากและทำให้ลูกค้าใช้ชิปของซัพพลายเออร์เจ้าอื่นไม่ได้
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นบริษัทร่วงไปถึง 9.5% อยู่ที่ 108 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดซื้อขายทั่วไปและร่วงลง 2% ในการซื้อขายระยะยาว ดันให้มูลค่าตลาดลดลงกว่า 279,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับการร่วงลงภายในหนึ่งวันที่มากที่สุดที่เคยมีมา นอกจากนี้ในด้านกองทุน VanEck Semiconductor ETF (SMH) ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ ร่วง 7.5% ภายในวันเดียว ซึ่งนับเป็นการร่วงลงภายในวันเดียวที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 อีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ AI โดยเฉพาะในกรณีของหุ้น Nvidia เริ่มส่งสัญญาณหลังจากที่การเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสสองของปี 2024 ที่แม้จะมีรายได้และกำไรมหาศาลแต่หุ้นของ Nvidia กลับร่วงลง 7% ในช่วงหลังเวลาทำการ อีกทั้งการคาดการณ์ไตรมาสหน้าที่คาดการณ์การเติบโตของรายได้ที่ 80% อยู่ที่ประมาณ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ในฟากนักลงทุนที่ 33,000 - 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือ Nvidia จะต้องทำรายได้ให้สูงกว่านักวิเคราะห์คาดถึงจะสามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้
โดยที่ผ่านมา Nvidia สามารถทำกำไรได้จากการเติบโตของ AI มาอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นของ Nvidia โตขึ้น 150% ในปีนี้ หลังจากเคยโตมากถึง 240% ในปี 2023 ส่งผลให้มูลค่าทางตลาดของบริษัทฯ ขึ้นไปสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามการประมาณการของอุตสาหกรรมปัจจุบัน Nvidia มีส่วนแบ่งตลาดชิป AI สำหรับศูนย์ข้อมูลมากกว่า 80% โดยมีลูกค้ารายใหญ่คือผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลเลอร์รวมถึงยักษ์ใหญ่ทางอินเทอร์เน็ต เช่น Microsoft, Alphabet, Meta, Amazon และ Tesla
การขยายธุรกิจสู่บริการเครือข่ายและซอฟต์แวร์องค์กรของ Nvidia โดยเฉพาะชิปรุ่นล่าสุดที่สามารถติดตั้งล่วงหน้าในแร็คเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบโดย Nvidia ได้ทั้งหมด เป็นตัวอย่างของความพยายามของ Nvidia ที่จะเปลี่ยนจากการเป็นเพียงซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนมาเป็นผู้ให้บริการระบบทั้งหมด
ความสำเร็จของ Nvidia มาจากความต้องการ GPU ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อรองรับการพัฒนา AI โดยบริษัทต่างๆ กำลังเปลี่ยนศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมไปสู่การประมวลผลแบบเร่งความเร็วโดยใช้ GPU เพื่อทำงานด้าน AI มากขึ้น อย่างไรก็ตามสถานะความเป็นผู้นำของ Nvidia ที่ไม่ว่าใครก็ต้องพึ่งพาทำให้รายได้และกำไรของบริษัทโตต่อเนื่องกว่า 200% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้ถูกจับตาโดยสำนักงานคณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) เพ่งเล็งถึงอำนาจในตลาดที่อาจเกิดการผูกขาดในอุตสาหกรรม AI
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -