Thairath Money เปิดอาณาจักร The Walt Disney Company บริษัทสื่อและความบันเทิงระดับโลก ผู้เปิดโลกจินตนาการให้กับคนทุกช่วงวัยที่ไม่ว่าใครก็ต้องมีตัวละครในดวงใจจากค่ายนี้ โดยจะพามาดูกันว่าบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี อย่างดิสนีย์จะทำเงินจากธุรกิจอะไร มีรายได้จากไหนนอกจากหนังหรือการ์ตูนที่เรารู้จักกัน
ในรายงานผลประกอบการทั้งปีของปีงบประมาณ 2023 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน Disney แบ่งการรายงานผลประกอบการภายใต้ธุรกิจ 3 ส่วน ได้แก่ Disney Entertainment, Sports และ Disney Experiences
สำหรับ Disney Entertainment จะเป็นธุรกิจสื่อและสตรีมมิงของบริษัททั้งหมด ยกตัวอย่างธุรกิจที่หลายคนคุ้นหูเช่น The Walt Disney Studios, Marvel Studios, Pixar Animation Studios, Marvel Studios, 20th Century Studios, National Geographic สถานีโทรทัศน์ ABC ตลอดจนบริการสตรีมมิงอย่าง Disney+, Hulu และ Hotstar ที่ให้บริการในบ้านเรา
ขณะที่ฝั่งกีฬาหรือ Sports จะเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอออนดีมานด์ที่เน้นคอนเทนต์ด้านกีฬาอย่าง ESPN+ รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์ ESPN และช่องกีฬาต่างประเทศของบริษัท
และในส่วนของ Disney Experiences จะเป็นธุรกิจสวนสนุก Theme Parks, โรงแรม, รีสอร์ต, เรือสำราญ Disney Cruise ตลอดจนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ของเล่น หนังสือ เสื้อผ้า และวิดีโอเกม
โดยในปีงบประมาณ 2023 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน Disney รายงานรายได้ทั้งปีที่ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทำรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 7.4 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบรายปี
ขณะที่บริการสตรีมมิงอย่าง Disney+ มียอด Subscription เพิ่มขึ้นเกือบ 7 ล้านบัญชีในช่วงไตรมาสที่ 4 ทำให้มีจำนวนผู้ใช้ทั้งหมดรวม Hotstar ด้วยจะอยู่ที่ 150.2 ล้านคน โดยคอนเทนต์ชูโรงในไตรมาสนี้มีทั้ง Elemental, Little Mermaid, Guardians of the Galaxy Vol. 3 และ Original Series อย่าง Ahsoka และ Moving
ในรายงานผลประกอบการระบุแถลงการณ์ของ บ็อบ อีเกอร์ (Bob Iger) ซีอีโอ Disney ว่าผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการดำเนินงานที่ได้ทำไปตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
สำหรับรายได้ทั้งปีในแต่ละ Segment ทำรายได้ ดังนี้
หากเจาะลึกลงไปที่รายได้ในส่วนของ Entertainment จะพบว่ามีรายได้ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 3.3 แสนล้านบาท) โดยมีรายได้จากสตรีมมิง Disney+, Disney+ Hotstar และ Hulu อยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้า
และในไตรมาส 4 ธุรกิจ Experiences ทำรายได้ 8.1 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 2.8 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้าจากการเติบโตของ Disney Cruise Line ที่มีผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจสวนสนุกทั้งในและนอกสหรัฐฯ รวมไปถึง Shanghai Disney Resort และ Hong Kong Disneyland Resort ซึ่งธุรกิจสวนสนุกมีสัดส่วนถึง 66% สำหรับรายได้ในกลุ่ม Experiences
ขณะที่รายได้ในหมวด Sports จะเป็นรายได้จากช่อง ESPN ทั้งในและนอกสหรัฐฯ รวมถึงรายได้จาก Disney Star ที่ให้บริการในอินเดีย โดยรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของหมวดกีฬานั้นอยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.3 แสนล้านบาท) เท่ากับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม Disney ยังคงต้องต่อสู้ในศึกสตรีมมิงเพื่อเบียดแซงคู่แข่งอันดับ 1 ในตลาดอย่าง Netflix โดยหลังจากเข้าซื้อกิจการ 21th Century Fox ก็ได้ทำให้ Disney กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแพลตฟอร์มสตรีมมิงอื่นๆ อย่าง Star+ และ Hulu ซึ่งถือหุ้นอยู่ร่วมกับ Comcast และ Star+
พร้อมกันนี้ความเคลื่อนไหวในการเข้าซื้อหุ้น 33% ของ Comcast มูลค่า 8.61 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท) ก็จะทำให้ Disney กลายเป็นเจ้าของ Hulu โดยสมบูรณ์ และอาจทำให้ได้ครองตำแหน่งศูนย์รวมคอนเทนต์เคเบิลทีวีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเจ้าหนึ่งของโลก
อ้างอิง