หลังจาก KBTG ที่ขับเคลื่อนองค์กรถึงเป้าหมายเร็วกว่ากำหนด 2 ปี ในการขึ้นแท่นสู่บริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาค ล่าสุดได้แถลงวิสัยทัศน์ที่ต้องการเดินต่อไปจากนี้อีก 3 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าที่จะขยายศักยภาพขององค์กรด้วย AI โดยคงมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง เรียกว่า Human-first x AI-first Transformation โดยที่ผ่านมา KBTG ได้พัฒนา AI และสร้างระบบนิเวศเติมเต็มคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง
ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) กล่าวว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีอเนกประสงค์ (General-purpose Technology) ดูด้วยตาอาจจะไม่เห็น แต่อยู่ทุกที่แน่นอน โดย KBTG ถือเป็นอีกหนึ่งผู้บุกเบิกทางด้าน AI ในประเทศและภูมิภาค สร้างเป็น AI Ecosystem ในด้านต่างๆ ทั้ง การทำวิจัยร่วมกับ MIT Media Lab อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565
รวมถึงการออกแบบเทคโนโลยี เช่น ระบบเปรียบเทียบใบหน้า (Face Recognition) และยืนยันหน้าจริง (Face Liveness) ให้ล้ำสมัยและใช้งานง่าย โดยจากผลงาน Face Liveness ทำให้ปัจจุบัน KBTG เป็นองค์กรเดียวในเอเชียและองค์กรที่สามของโลกที่ผ่านการรับรองระดับสูงสุด (Level 2) จากการทดสอบของ iBeta ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากล พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ FinLearn แพลตฟอร์มการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมฟีดแบ็คแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ KBTG ยังมีการเปิดตัว 2 แพลตฟอร์มและบริการทางด้าน AI ได้แก่ AINU (อัยนุ) ผู้ให้บริการโซลูชัน AI นำร่องด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการยืนยันตัวตน 3 ฟีเจอร์เด่น คือ OCR (Optical Character Recognition) ระบบแปลงข้อมูลจากภาพ Liveness Detection ระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าจริงๆ ของตัวบุคคล และ Face Recognition ระบบเปรียบเทียบใบหน้าเพื่อการยืนยันตัวตน
Car AI เทคโนโลยี AI ตรวจสภาพรถยนต์แบบอัตโนมัติเพื่อประเมินความเสียหายจากรูปภาพ สำหรับธุรกิจประกัน ซื้อขายรถยนต์มือสอง และอื่นๆ
ขณะที่ด้านการลงทุน KXVC ได้มีการลงทุนในสตาร์ทอัพ AI และจับมือกับกองทุนด้าน AI ชั้นนำของโลกอย่าง AI FUND นำโดย Andrew Ng ผู้ก่อตั้ง DeepLearning.AI ด้วย
ดร.มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer, KBTG Labs กล่าวว่า อย่างแรก คือ เรื่องของ Generative AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงมากในขณะนี้ ทั้ง Large Language Model (LLM) หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ และ Large Vision Model (LVM) ที่สามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหาในภาพได้ ซึ่งภายใน 5 ปีนี้จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันถ้ามองแค่ LLM ภาษาไทยมีมากถึง 99 ตัวแล้ว และเชื่อว่าในอนาคตจะมีมากกว่านี้
ต่อมาเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่คือ เรื่องของการเอา AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในภาคการเงิน และสุขภาพ โดยด้านการเงินสิ่งที่ KBTG ทำกับ MIT media lab คือ เรื่องของการศึกษาในการออกแบบวิธีการเรียนรู้ให้เเหมาะสมกับคนแต่ละแบบ ทำให้ผู้เรียนสามารถซึมซับได้ดีที่สุดในระดับของตัวเอง
ส่วนเรื่องของสุขภาพ ขณะนี้หลายองค์กรได้มีการใช้ AI ช่วยอ่านฟิล์มเอกซเรย์ ช่วยดูประวัติของตนไข้ แล้วคาดการณ์ ได้ว่าในอนาคตจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคใดบ้าง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ AI for Social Good และการคาดการณ์ในเรื่องของ Climate Change โดยนำ AI มาช่วยพยากรณ์ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีความแม่นยำไม่ต่ำกว่า 50% เลยทีเดียว
เหล่านี้เป็นกรณีศึกษาที่เราเห็นในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับประเทศไทยในเวลาอันใกล้นี้ หนีไม่พ้นเรื่องของ LLM และ LVM รวมถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับ AI ว่าจะสามารถนำมาใช้อย่างไรให้ดูไร้รอยต่อ คนอยากกลับมาใช้อีก และรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่ AI แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พร้อมทั้งสามารถทำงานด้วยกันได้
ขณะที่ในมุมของธุรกิจ ดร.เจริญชัย บวรธรรมรัตน์ Senior Venture Director, KX กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการนำ AI ไปปรับใช้ (Adoption) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงิน และประกันภัย สิ่งหนึ่งที่เมื่อไปเจอคู่ค้าและเขาตามหา คือ AI จะสามารถตอบโจทย์ในด้านคุณค่าทางธุรกิจ (Business Value) และ ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน (Operational Excellence) ได้อย่างไร ซึ่งจะเกิดการนำ AI ไปปรับใช้กับเรื่องเหล่านี้ก่อน
แม้ว่าการใช้งาน AI ในประเทศไทยอาจตามหลังต่างประเทศอยู่ แต่เชื่อว่าปีนี้ และปีถัดไป การนำ AI ไปปรับใช้ในองค์กรทั่วไปสูงขึ้นมากๆ และน่าจะเป็นลักษณะของ exponential ด้วย โดยเฉพาะ ในกลุ่มของ B2B ที่จะตามหาในมุมที่ทำให้เกิด cost saving ทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงาน และดึง Performance ขึ้น
นอกจากนี้ อีกแนวทางการพัฒนาของ AI ในฝั่งของธุรกิจ คือ มันจะมาในรูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) ที่มันใช้งานง่าย ปรับใช้ได้ไว เนื่องจากทุกบริษัทไม่สามารถสร้าง AI ได้เหมือนกัน ดังนั้น KXAI ก็จะเติบโตในลักษณะของการทำ SaaS เช่นกัน
ด้านกัมปนาท วิมลโนท Managing Director, KXVC ในฐานะนักลงทุน มองว่า สามารถแบ่งการมอง AI ได้เป็น 2 มุม ทั้งในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยี และธุรกิจ โดยอย่างแรกเลยคือ โครงสร้างพื้นฐานของ AI ที่จะมีความสำคัญต่อการพัฒนามากๆ เพราะในอนาคตการสร้างโมเดลต้องเร็วขึ้น ถูกลง และแม่นยำมากขึ้น ตอนนี้แนวโน้มที่เห็นได้ชัดทั่วโลกเลย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา คือ คนที่อยู่บริษัท AI เดิม ต่างพากันลาออกมาสร้างสตาร์ทอัพด้าน AI แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะได้รับอิทธิพลจากการได้รับเงินลงทุนที่สูงของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ส่งผลให้ VC ถล่มเงินเขาในในอุตสาหกรรมนี้ มันถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
นอกจากเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ คนที่นำไปใช้ จะขายของอย่างไรให้ถึงมือและตอบโจทย์ลูกค้า
“ดังนั้นเทคโนโลยีอย่างเดียว ไม่มีทางจะสำเร็จได้ แต่จะต้องมี service เข้ามาช่วยให้ลูกค้าเกิดการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C จะต้องมี service เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในช่วงแรก” กัมปนาท กล่าว
ดังนั้นใน 5 ปีมองว่า โลกมันจะเปลี่ยนไปสิ้นเชิง และเปลี่ยนเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก จนอาจถึงขั้นว่า AI จะแนะนำว่าเราควรสร้างเทคโนโลยีแบบไหนได้อีกด้วยซ้ำ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney