หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการประชุมวันที่ 19 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มีมติให้ ก.ล.ต. นำส่งข้อมูลผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งเป็นการป้องกันมิให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการนำทรัพย์สินจากการกระทำผิดไปฟอกเงิน อันเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์
ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ให้บริการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต และชักชวนให้มีการใช้บริการในประเทศไทย โดยกล่าวโทษต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ตามบทบาทหน้าที่ รวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ เช่น กรณี Binance และ กรณี Bybit นั้น
ล่าสุด นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า ว่า สำหรับที่มาที่ไปของกรณี คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีการแต่งตั้งขึ้นมาตาม พ.ร.ก.อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ เห็นว่าทุกวันนี้มีการหลอกทางออนไลน์เกิดขึ้นและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก ทั้งการหลอกลงทุน หลอกเข้าไปซื้อของผ่านเว็บ หลอกโรแมนซ์สแกม
โดยสิ่งหนึ่งที่สำคัญกรณีนี้คือ พนักงานสอบสวนเห็นการหมุนเวียนเงินผ่านบัญชีม้า เงินไหลเร็วหลายทอด และได้มีการถอนออกมา แล้วนำส่งไปฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้ประกอบธุรกกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ ดังนั้นจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องจัดการในหลายมาตรการ
สำหรับ ก.ล.ต.เอง ในฐานะที่ดูแล พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ถ้าหากมีผู้ประกอบธุรกิจที่ทำธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษ เมื่อมีมติสั่งมาก็ต้องปฏิบัติตาม ทำหน้าที่ส่งข้อมูลเคสต่างๆ ไปให้
“กระบวนการหลังจากนี้จึงขึ้นอยู่กับทางกระทรวงแล้ว ซึ่งเขาจะต้องมีกระบวนการพิจารณา ว่าเหล่านี้เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เขาต้องมีการปิดกั้นใช่หรือไม่ ตรงนี้คือบทบาทหน้าที่ของกระทรวงดีอี ไม่ได้เกี่ยวกับ ก.ล.ต แล้ว เพราะ ก.ล.ต. เราบังคับใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ก็คือ ใครทำธุรกิจต้องได้รับใบอนุญาต ใครไม่ได้ใบอนุญาต เราก็บังคับใช้กฎหมาย กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน พอเรากล่าวโทษก็จบแล้ว หน้าที่หลังจากนี้ขึ้นกับกระทรวงดีอีแล้ว ซึ่งเขาก็ทำตามกฎหมายของกระทรวงดีอี โดยขั้นตอนก็จะต้องพิจารณาว่าเห็นอย่างไร” นายเอนก กล่าว