คริปโตฯพุ่ง ล่อเป้าแฮกเกอร์ Bitcast แนะวิธีเก็บให้ปลอดภัย ห่วงนักลงทุนหน้าใหม่หลงกล รู้ไม่เท่าทัน

ในปีนี้ในภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Run) ของคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ราคาเหรียญมักพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโตฯ มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ดึงดูเหล่ามิจฉาชีพให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิทแคสต์ จํากัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมามูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการโจรกรรมทางไซเบอร์โดย เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ มีมูลค่าสูงถึง 24,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

และในปีนี้ในภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Run) ของคริปโตเคอร์เรนซี ราคาเหรียญมักพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดนี้มากขึ้น

และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญในตลาดคริปโตนั้น ย่อมทำให้ล่อตาล่อใจเหล่า Hacker เพราะต้นทุนในการโจรกรรมเท่าเดิมแต่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงว่าอาจทำให้ตัวเลขความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามราคาของ Bitcoin และคริปโตอื่นๆ

3 ปัญหาของการเก็บรักษาคริปโตฯ ให้ปลอดภัย 

นายศุภกฤษฎ์ กล่าวว่า การเก็บรักษาคริปโตฯ ให้ปลอดภัยนั้น มักมีปัญหาหลายประการ และเป็นอุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาคริปโตฯ เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายได้ ค่อนข้างช้า 

ประการแรก คือ ปัญหาด้านความตระหนัก

คนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการพึ่งพาบริการ จากผู้ให้บริการในชีวิตจริง หากเกิดความเสียหายมีคนพร้อมช่วยเหลือ และสามารถกู้คืน หรือย้อนธุรกรรมกลับได้ แต่วิธีคิดนี้ใช้กับบริการทางด้านการ เงินออนไลน์ในยุคนี้ไม่ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นธุรกรรมบนโลกคริปโตฯ การย้อนธุรกรรมเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากถูกโจรกรรมแล้วจะไม่สามารถดึงเงินกลับได้ ความตระหนักจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ถูกและมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดอันนึง

ประการที่สอง ปัญหาด้านความรู้คริปโตฯ

โดยพื้นฐานอาจฟังดูยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ผู้ใช้ควรรู้ มีแค่เรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของ ในโลกของคริปโตฯ คนใช้ทั่วๆ ไปรู้แต่ว่าเราครอบครองเหรียญ เห็นเหรียญแสดงในกระเป๋า แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ การครอบครองนั้นพิสูจน์ด้วยอะไร 

ถ้าเข้าใจเรื่องการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องปกป้องไม่ใช่สินทรัพย์ แต่เป็นการปกป้องสิ่งที่เราบอกระบบว่าเราเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า Private Key เพราะ คริปโตฯ นั้นปลอดภัยอยู่แล้วในระบบตามกฎของมันซึ่งเก็บอยู่บน Blockchain ที่เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไป Hack ออกมาได้ ดังนั้นจุดที่ Hacker จะโจมตี หรือพยายามโจรกรรมก็คือ Private Key เพราะถ้าได้ Private Key ไป Hacker จะพิสูจน์ต่อระบบได้ว่าเขาเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ ทำอะไรกับมันก็ได้

ประการที่สาม ปัญหาทางด้านเทคนิค

เทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด คนทั่วไปตามการเติบโต นี้ไม่ทัน แม้แต่คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเองก็เช่นเดียวกัน โดยเทคโนโลยีหรือเทคนิคการเขียนโปรแกรมถูกใส่เข้าในเพื่อปกป้องความมั่งคั่งทางดิจิทัลของคุณ อยู่ตลอดเวลา ในทางกลับกัน Hacker เองก็เรียนรู้ที่จะเจาะระบบ หาช่องโหว่ จุดอ่อนของผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้เอง ต้องมีการเรียนรู้ ปรับตัว หมั่นอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ

Bitcast ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดเบอร์ 1 ไทย ในฐานะ Solution Provider โลกคริปโตฯ

นายศุภกฤษฎ์ กล่าวว่า จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกคริปโตฯ Bitcast เข้าใจความต้องการของตลาด และเล็งเห็นว่าการเติบโตของตลาดจะยั่งยืนได้ผู้ ใช้งานต้องมีความรู้ ความตระหนัก และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยบริษัทมี core value คือ  “Secure Your Future Protect Your Bitcoin Today” ซึ่งในปีนี้ได้มีการนำเข้า Hardware Wallet  แบรนด์ One Key เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่ง One Key ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ Hardware Wallet ชั้นนำระดับโลก มีทั้งเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน และฟังก์ชันการใช้งานมีความง่ายต่อการเข้าถึงและทำความเข้าใจ 

อย่างไรก็ตาม Bitcast ได้ตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 1 โดยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นสำหรับเก็บรักษา Bitcoin และ Digital Asset ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ได้มองแค่การขยายธุรกิจในตลาดไทยเท่านั้น แต่เนื่องด้วยตลาดคริปโตฯ เป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และไร้พรมแดน ดังนั้นการขยายธุรกิจไปในเอเชียตะวันออกเฉียงก็เป็นหมุดหมายที่ต้องการผลักดันเช่นกัน