Tether อายัดกระเป๋าเงินดิจิทัลกว่า 32 บัญชี หลังพบใช้คริปโตฯ เชื่อมโยงก่อการร้าย-สงครามในอิสราเอล

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

Tether อายัดกระเป๋าเงินดิจิทัลกว่า 32 บัญชี หลังพบใช้คริปโตฯ เชื่อมโยงก่อการร้าย-สงครามในอิสราเอล

Date Time: 17 ต.ค. 2566 14:10 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • Tether ผู้ออกเหรียญ Stablecoin รายใหญ่ที่สุดของโลก ร่วมมือกับหน่วยงานของอิสราเอล อายัดกระเป๋าเงินดิจิทัล 32 บัญชี มูลค่า 8.73 แสนดอลลาร์ (หรือประมาณ 31.8 ล้านบาท) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมายในอิสราเอล

Tether ผู้ออกเหรียญ Stablecoin รายใหญ่ที่สุดของโลก ยืนยันผ่านเว็บไซต์ถึงการระงับกระเป๋าเงินดิจิทัล 32 บัญชี ที่มีความเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และการทำสงครามในอิสราเอล และยูเครน

โดยระบุถึงการดำเนินงานอย่างฉับพลันเพื่อต่อต้านการใช้ Stablecoin ในทางที่ผิดกฎหมาย หรือเพื่อสนับสนุนการก่อการร้าย และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในทั่วโลก

และจนถึงปัจจุบันนี้ Tether ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานทั่วโลกกว่า 31 หน่วยงาน และมีสินทรัพย์ที่ถูกอายัดรวมมูลค่ากว่า 823 ล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 2.99 หมื่นล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมในเครือข่ายบล็อกเชน

ขณะเดียวกันก็มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของอิสราเอล หรือ NBCTF เพื่อขัดขวางการนำสกุลเงินคริปโตฯ ไปเป็นเงินทุนที่เอื้อให้กับการก่อการร้าย และการสงคราม โดยอายัดกระเป๋าเงินดิจิทัล 32 บัญชี มูลค่า 8.73 แสนดอลลาร์ (หรือประมาณ 31.8 ล้านบาท) ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการกระทำที่ผิดกฎหมายในอิสราเอล

ซึ่งทาง Tether ระบุในจดหมายข่าวของบริษัทว่า แม้จะเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งอยู่ที่ 4.45 แสนล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 16.21 ล้านบาท) ความสามารถของ Tether ในการอายัด และส่งคืนเงินที่ถูกขโมยไป นั้นแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและความปลอดภัยอีกระดับของระบบการเงินโลกที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน

ด้าน Paolo Ardoino ซีอีโอของ Tether กล่าวว่า คริปโตฯ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้สำหรับการก่ออาชญากรรม ตรงกันข้ามกับความเชื่อส่วนใหญ่ที่ว่าการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดิจิทัลนั้นเป็นแบบไม่ระบุตัวตน แต่กลับเป็นสินทรัพย์ที่ติดตาม และแกะรอยได้มากที่สุด

โดยธุรกรรมทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชน ทำให้ใครก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเงินได้ ดังนั้นแล้วคนร้ายที่ไม่ฉลาดพอที่จะใช้คริปโตฯ สำหรับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายจะถูกระบุตัวตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

อ้างอิง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์