หากจะบอกว่า “เศรษฐกิจไทย” มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็ยังคงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเผชิญความท้าทายสำคัญจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน ตามด้วยต้นทุนค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ความกังวลทางเศรษฐกิจ ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งใหม่ๆ
ซึ่งที่ผ่านมา "ธนาคารไทยพาณิชย์" มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพื่อปรับตัวรับกับความท้าทายทั้งในรูปแบบสินเชื่อ การจัดกิจกรรมสัมมนาและหลักสูตรการให้ความรู้ต่างๆ ส่งผลให้การบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อลูกค้าเอสเอ็มอีมีประสิทธิภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 พอร์ตสินเชื่อลูกค้าเอสเอ็มอีมีจำนวน 250,893 ล้านบาทโดยเป็นสินเชื่อเอสเอ็มอีปล่อยใหม่ประมาณ 40,000 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2566
พิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นอกจากความท้าทายที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ทำให้เอสเอ็มอีต้องมีการคำนึงถึงผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากขึ้นแล้วนั้น คลื่นความท้าทายใหม่ที่กำลังสร้างผลกระทบให้แก่เอสเอ็มอีไทย อีกประการหนึ่ง คือ การปรับตัวการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม-สังคม-ธรรมาภิบาล (ESG) เพราะเอสเอ็มอีเป็นส่วนใหญ่ของซัพพลายเชนที่ต้องปรับตัวตามธุรกิจขนาดใหญ่ หากไม่เร่งดำเนินการจะเสียโอกาสทางการค้าและสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
จากการทำกิจกรรมร่วมกับเอสเอ็มอีในหลักสูตรต่างๆ ที่ผ่านมา พบว่า จุดอ่อนของเอสเอ็มอีในการปรับตัวเข้าสู่กระแส ESG มี 5 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่
พิกุล กล่าวว่า ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญในการสนับสนุนให้ลูกค้าปรับตัวอย่างต่อเนื่องด้วยกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจด้านความยั่งยืน อาทิ โครงการ Bootcamp โครงการ IEP โครงการ DSM โครงการ IBE โครงการ The Dots โครงการ ITP และล่าสุด โครงการ Phuket ESG Start Now ซึ่งมีผู้ประกอบการมากกว่า 1,000 รายจากหลากหลายอุตสาหกรรมผ่านการอบรมการปรับตัวสู่ความยั่งยืน
นอกจากนี้ ธนาคารได้นำเสนอสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในกิจการ การจัดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน การติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียและบำบัดมลพิษ โดยนับตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ธนาคารอนุมัติวงเงินสินเชื่อไปจำนวนมากกว่า 3,000 ล้านบาท
ดังนั้นด้วยแนวคิดธนาคารไทยพาณิชย์ “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่จะนำการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วน กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมสานต่อแนวคิดดังกล่าว โดยประกาศแนวทาง “เริ่ม เพื่อ รอด” ให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน
1. โครงการสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) ดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% ต่อปี ซึ่งหากผ่านมาตรการการวัดคาร์บอนเครดิตจะมีการลดให้อีก 1% ในปีแรก แตกต่างจากสินเชื่อปกติประมาณ 2-3%
2. โครงการที่ปรึกษาทางธุรกิจ SCB SME Mentor รุ่นที่ 4 Sustainability เป็นที่ปรึกษาให้ธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวข้ามผ่านสู่ความยั่งยืน ผนึกกำลัง 3 หน่วยงาน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (หรือ NIA), และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และอีก 1 บริษัทเอกชน บริษัท แพค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมมือกันนำความรู้ ประสบการณ์ และเชี่ยวชาญการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจและใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่นักธุรกิจ SMEs รายอื่นๆ เพื่อร่วมวางยุทธศาสตร์การสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ SMEs ในระยะยาว
รวมถึงการให้ทุนสนับสนุน เอสเอ็มอีเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน อาทิเช่น การร่วมมือกับภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดแคมเปญเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยสนับสนุนค่าบริการสนับสนุนด้านการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน หรือ ESG วงเงินช่วยเหลือ อุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไขการชำระคืน (Grant) สูงสุดรายละไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี รวมทั้งหมดไม่เกินรายละ 500,000 บาทต่อนิติบุคคล โดยมี SCB เป็นช่องทางหลักในการทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการสนับสนุนดังกล่าว
“การปรับตัวเพื่อรับกับกระแส ESG ต้องดำเนินการควบคู่ทั้งการอบรมให้ความรู้ การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ด้วยแนวทาง “เริ่ม เพื่อ รอด” จะมีส่วนสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเพิ่มความตระหนักรู้และเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เอสเอ็มอีที่เริ่มก่อน มีโอกาสรอดก่อน และนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจมากมาย อาทิ การเข้าถึงสินเชื่อที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ การส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี การดึงดูดนักลงทุนและลูกค้ายุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจสีเขียว ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนไม่น้อยกว่า 1,000 กิจการ และสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน ประมาณปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท” พิกุล กล่าว
ขณะที่มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2566 โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำประมาณ 2.9% มั่นใจสิ้นปี 2567 NPL จะอยู่ประมาณ 3% บวกลบ
“ปัจจุบันธนาคารยังคงเหลือลูกค้าที่ยังต้องช่วยเหลือ มูลค่ารวมประมาณ 3,500 ล้านบาท ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะเป็นเซกเตอร์ในหมวดซื้อมาขายไปของเอสเอ็มอี จะแตกต่างจากลูกค้าขนาดใหญ่ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพลังงาน นอกจากนี้แนวโน้มการฟื้นตัวของเอสเอ็มอี คือ แนวโน้มของประเทศอยู่ในช่วงที่เราทุกคนต้องปรับตัว โดยคาดว่าจะสำรองวงเงินอยู่ที่ปีละ 60,000 ล้านบาท ฉะนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานการสนับสนุนสินเชื่อ และสามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ โครงการในครั้งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถไปถึงฝั่งฝันตามที่ตั้งเป้าไว้” พิกุล กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข่าวสารด้าน Sustainability ได้ที่นี่
https://www.thairath.co.th/money/sustainability
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney