รัฐบาลปรับมาตราการใหม่กระตุ้นตลาดทุนไทย ดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่มีรายได้ประจำ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยได้ปรับเกณฑ์วงเงินลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : Thai ESG) เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่เกิน 300,000 บาท และลดระยะเวลาการลงทุนเหลือ 5 ปีจากวันที่ลงทุน ครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET และ mai เพิ่มขึ้น จาก 128 บริษัท เป็น 200 บริษัท
นายศรชัย สุเนต์ตา รองผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ของธนาคารไทยพาณิชย์ SCB CIO พร้อมสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุนกองทุน Thai ESG มองว่าจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น ช่วยผู้ที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และผู้ลงทุนเพื่อการออมระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่มีรายได้ประจำ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้กับนักลงทุน เพราะเงื่อนไขการลงทุนของบริษัทต่างๆ จะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด
การขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมด้านธรรมาภิบาล (Governance) จะทำให้การลงทุนในหุ้นไทยผ่าน Thai ESG มีความหลากหลายมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี โดย SCB CIO แนะนำให้พิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core port) ที่เป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว 5 ประการ ได้แก่
สำหรับ ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนระยะยาว พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ผ่านกองทุนรวม Thai ESG นั้น ปัจจุบัน SCB มีกองทุน Thai ESG ให้เลือก 3 รูปแบบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า โดยในแต่ละรูปแบบมี 2 ทางเลือก คือ แบบปันผล และสะสมมูลค่า ได้แก่ กองทุน SCBTM(ThaiESG) และ SCBTM(ThaiESGA) ที่ลงทุนแบบผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG กองทุน SCBTA(ThaiESG) และ SCBTA(ThaiESGA) ที่ลงทุนหุ้นไทย ESG ด้วยกลยุทธ์บริหารเชิงรุก และกองทุน SCBTP(ThaiESG) และ SCBTP(ThaiESGA) ลงทุนหุ้นไทย ESG ที่ผลตอบแทนอิงตามดัชนี SET ESG รวมทางเลือกมากที่สุดในตลาดทั้งหมด 6 กองทุน โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกตามความเหมาะสม และเป้าหมายของแต่ละท่านที่ตั้งไว้ รวมทั้งความเสี่ยงที่สามารถรับได้