เหตุทุกครั้งที่ทองคำปรับขึ้นรอบใหญ่จะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา ส่งผลระยะสั้นอาจย่อตัวสลับลงบ้าง แต่ภาพระยะยาว 2-3 ปี เทรนด์ยังแข็งแกร่ง ตามแนวโน้มเฟดวงจรดอกเบี้ยขาลง ซึ่งหลังจากนั้นจะอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อย 2-3 ปี พร้อมแนะแนวรับที่ 2,144-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านที่ 2,266-2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองไทยมองกรอบแนวรับที่ 36,600-35,500 บาทต่อบาททองคำ แนวต้านที่ 38,750-39,300 บาทต่อบาททองคำ เผยปีนี้การเทรดผ่านฟิวเจอร์สมาแรง วายแอลจีเพิ่มช่องทางลงทุนผ่าน Tradingview เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก รู้ทันทุกจังหวะการลงทุน
พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งที่ระดับ 2,234 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ณ วันที่ 28 มี.ค. 2567 ส่งผลให้นับจากต้นปี หรือในไตรมาสที่ 1/2567 ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 8% ซึ่งการปรับขึ้นมาในรอบนี้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเกิดความไม่มั่นใจว่าราคาทองคำขึ้นมาสูงจนจะเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่
ในกรณีนี้หากวิเคราะห์ตามปัจจัยพื้นฐานจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นมาของทองคำในตลาดโลกในภาพใหญ่ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานนับจากการระบาดของโควิด-19 และต่อเนื่องมาจากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่ อาทิ ในตะวันออกกลาง จากอิสราเอล-ฮามาส และทะเลแดง รวมไปถึง รัสเซีย-ยูเครน
นอกจากนี้ ทางการจีนที่ได้ตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม 7.2% สู่ระดับ 1.67 ล้านล้านหยวนในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นด้วยอัตราสูงสุดในรอบ 5 ปี สถานการณ์เช่นนี้ ส่งเสริมให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เมื่อทองคำย่อตัวลง จึงเป็นแรงซื้อทองคำที่เข้ามาคอยช่วยให้ราคายกระดับต่ำสุดขึ้น และแน่นอนว่าจะได้ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงของเฟดอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนี้ทองคำยังมีความเสี่ยง เนื่องด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างไกลแล้ว จึงอาจเกิดแรงขายสลับเข้ามาได้ โดยในส่วนของแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายจากเฟดนั้น หากพิจารณาข้อมูลในรายงานประมาณภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเดือน มี.ค. อย่างถี่ถ้วน พบว่า สำหรับปี 2567 มีการปรับขึ้นของคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ แต่ทำการปรับลดอัตราการว่างงานลง
นอกจากนั้น แม้ว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) จะอยู่ที่การลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งเท่าเดิมในปีนี้ แต่มีการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2568 และ 2569 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มระดับอัตราดอกเบี้ยที่อาจคงไว้ที่ระดับสูง ทำให้นักลงทุนยังคงไม่วางใจต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ที่ชี้ว่า เฟดยังไม่อาจสามารถระบุถึงช่วงเวลาในการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้
ดังนั้นแล้ว ในระยะสั้นทองคำอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง จากทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแรงขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไปแม้ราคาทองคำอาจมีช่วงปรับฐานลงมาบ้าง แต่จะมีแรงซื้อเข้ามาพยุงในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และหากกลางปีนี้เฟดทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2-3 ปี วายแอลจีจึงมั่นใจว่าภาพใหญ่ของทิศทางทองคำในปีอีก 2-3 ปี จะยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น
อย่างไรก็ดีวายแอลจีแนะนำว่าหากนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในมือและมีกำไรในช่วงนี้ควรแบ่งขายทำกำไร เนื่องจากปกติหากทองคำปรับขึ้นรอบใหญ่จะต้องมีการขายทำกำไรออกมาทุกครั้ง ดังนั้นในระยะสั้นราคาทองคำอาจจะปรับตัวลดลงมาก่อน แต่ระยะยาวยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นไว้ได้ โดยให้แนวรับที่ 2,144-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แนวต้านที่ 2,266-2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมองแนวรับที่ 36,600-35,500 บาทต่อบาททองคำ แนวต้านที่ 38,750-39,300 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วย ค่าเงินบาท 36.02 บาทต่อดอลลาร์ (*อัตราถัวเฉลี่ยย้อนหลัง 4 สัปดาห์*)
ปัจจุบันนักลงทุนนิยมลงทุนทองคำในรูปแบบการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) โดยมี ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากตลาดฟิวเจอร์สเป็นการเข้าถึงการเทรดในตลาดระดับโลก เช่นการซื้อขายผ่าน Tradingview ด้วยบัญชี YLG Futures ที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนฟิวเจอร์สในตลาด CME Group ตลาดฟิวเจอร์สอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐฯ ที่มีสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกครอบคลุม ทองคำ น้ำมันดิบ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง อีกทั้ง สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชม. ไม่เว้นวันหยุดของประเทศไทย ซึ่งจุดเด่นของการลงทุนทองคำในฟิวเจอร์สคือสามารถลงทุนได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง
ติดตามข่าวสารการลงทุนของ Thairath Money ได้ที่นี่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney