ในอดีตหลายคนเคยได้ยินคำว่า ‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ แม้ว่าปัจจุบันไม่อาจแบ่งแยกแบบนี้ได้แ เพราะ ไม่ว่าจนหรือรวยก็เล่นหวยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่ในบทความนี้จะยกมาพูดคุย เราไม่ได้จะมาพูดถึงหวยแต่อย่างใด แต่เราจะมาพูดถึงการลงทุนในหุ้นที่ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งได้เหมือนกันหมด เพียงแค่ต้องมีความรู้และความเข้าใจที่จะลงทุน
แน่นอนว่าความร่ำรวย ความมั่งคง และการมีอิสรภาพทางการเงิน คือ เป้าหมายสำคัญของใครหลายคน แต่กว่าที่จะถึงตรงนั้นได้ก็ต้องเก็บหอมรอมริบ วางแผนทางการเงินเป็นอย่างดี Thairath Money มีโอกาสได้พูดคุยกับ พี่หนู ปาริชาติ พงษ์คำ แม่บ้านประจำห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วัย 49 ปี หลายคนรู้จักเธอในฐานะ ‘แม่บ้านเงินล้าน’ ไอดอลของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ กว่าจะถึงเส้นชัยแรก ต้องผ่านอะไรมาบ้าง แนวคิดที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจเลยว่าทำไมพี่หนูถึงมีเงินล้านได้
ถ้าหากย้อนถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นการลงทุนของพี่หนู เราอาจต้องย้อนกลับที่ปี 2544 ปีแรกที่พี่หนูสมัครเข้าทำงานเป็นแม่บ้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พี่หนูเคยเปิดเผยชีวิตตนเองว่า ขณะนั้นได้รับค่าจ้างวันละ 165 บาท จนทุกวันนี้มีรายได้เดือนละ 16,500 บาท โดยเธอจะแบ่งเงินสำหรับฝากประจำ 24 เดือน จนกระทั่งได้เงินออมก้อนแรก
และสิ่งที่น่าประทับใจ คือ ในแต่ละวันที่พี่หนูทำงานปกติที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เธอได้ซึมซับแนวคิดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือจากในห้องสมุด และพูดคุยซักถามสิ่งที่สงสัยกับนักลงทุนและเซียนหุ้นที่มาร่วมงานสัมมนาอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งเธอมีความมั่นใจและเลือกนำเงินก้อนแรกที่ออมไว้จำนวน 500,000 บาทไปลงทุนต่อยอด จนสามารถสร้างพอร์ตมูลค่า 1 ล้านบาทได้สำเร็จ
พี่หนู เล่าว่า ปัจจุบันนับว่าเข้าสู่ปีที่ 22 ของการเป็นแม่บ้านที่ห้องสมุดมารวย และเข้าสู่ปีที่ 10 ปี ของการเริ่มต้นทุนครั้งแรก
หากมองกลับไปช่วงแรก ยังมีความกลัวที่จะลงทุน ยังไม่กล้าเสี่ยง เพราะตนรายได้น้อย และใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆ เพื่อจะมีเงินก้อนใหญ่ไปลงทุน แต่ความใฝ่ฝันที่จะมีเงินล้านทำให้ตนมีวินัยในการจัดสรรออมเงินเป็นอย่างมาก ตอนนี้ความสุขในการลงทุน คือ การเห็นเงินปันผลเติบโต ได้เห็นพอร์ตที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
"ย้อนกลับไปตอนเริ่มต้น ตอนนั้นเริ่มต้นจากการลงทุนในกองทุนและขยับขยายไปตราสารหนี้ ถัวเฉลี่ยและทยอยลงทุนแบบ DCA 4,000-5,000 ไปเรื่อยๆ"
จุดเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ทำให้เปลี่ยนจากการฝากประจำแบบเดิมมายังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น คือ การเห็นโอกาสในการต่อยอดเงิน ความรู้ที่สั่งสมมาตลอดทำให้มั่นใจว่าหุ้นจะสามารถต่อยอดได้ดีกว่าการฝากธนาคาร โดยเฉพาะตอนนี้ที่ดอกเบี้ยจากธนาคารไม่ได้เยอะเท่าสมัยก่อน ฉะนั้น การลงทุนต้องลงทุนในสิ่งที่เรามั่นใจได้ว่าผลลัพธ์จะต่อยอดมากขึ้น
“ยิ่งเราออมก่อน ย่อมรวยกว่า ถ้าเราไม่มีเงินออม เราก็จะไม่มีทางรวย พอเราออมมาได้สักระยะ เราจะต่อยอดยังไงให้เงินเราเพิ่มพูนมากขึ้น อันนี้ต้องไปหาความรู้เพิ่มเติม เงินที่เราฝากธนาคารสามารถเอาไปต่อยอดอย่างไรได้บ้าง ซื้อหุ้นหรือกองทุนที่ได้ปันผล หรือผลตอบแทนที่เยอะกว่าการฝากเงินในธนาคาร”
พี่หนูให้มุมมองว่า หลักการสำคัญ คือ เป้าหมายในการลงทุน เป้าหมายของเรา คือ ไม่ได้หวังรวยภายในปีสองปี ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ 5 ปี 10 ปี เราต้องใช้ความอดทน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือทุกๆ อย่างในชีวิตของเรา เราต้องใช้วินัยและการอดทน ทุกอย่างต้องใช้เวลา อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ บางคนจะมองว่าการลงทุนใช้เวลานาน ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่มองผิดจุด
"เราค่อนข้างมีความทะเยอทะยานในการมีเงินมาก ทุกปีเราจะรู้ว่าปีนี้เราได้เงินเท่าไร เพราะฉะนั้น ถ้าเรายิ่งเก็บเยอะ โอกาสที่เราจะมั่นคง มั่งคั่งในด้านการเงินจะเร็วกว่าการที่เราเก็บเงินไว้เฉยๆ แต่เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าบุคคลนั้นมีภาระอะไรไหม อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ"
พี่หนูกล่าวว่า เคล็ดลับ คือ ความอดทน เราต้องเย็นพอ นิ่งพอที่จะไม่ไปตามอารมณ์ของตลาดหุ้น สมมติว่าทุนเราน้อย หากซื้อมา ขายไป เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีเงินเหลืออยู่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องใช้ความอดทน ใช้ความใจเย็นในการถือ แต่ต้องมั่นใจว่าหุ้นที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่ดีจริงๆ ถึงจะผ่านมากี่ปีก็สามารถปันผลได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ปัจจุบันตนยังแบ่งรายได้พื้นฐานกับการลงทุนตามเดิม ค่าใช้จ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน ค่าปัจจัยสี่ เงินสำรองยามฉุกเฉินยังเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
"ถ้าถามเรื่องการลงทุนก็ยังคงลงทุนวิธี DCA เดือนละ 5,000 บาท หรือถ้ามากกว่านั้นก็ต่อยอดไปอย่างอื่นได้ วิธีการเลือกหุ้น พี่หนูเลือกซื้อในสินทรัพย์ที่คนทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าทุกคนใช้กันอยู่แล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังสามารถเติบโตและต่อยอดได้เรื่อยๆ เช่น บริษัทหรือผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปัจจัยสี่ สินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังสนใจการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มสัดส่วนของพอร์ต อย่างหุ้นเวียดนามอีกด้วย"
พี่หนูเปรียบเทียบตัวเองให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสาร และความรู้มีความสำคัญมากต่อการลงทุน เพราะความรู้ที่กว้างขึ้นทำให้เราต่อยอดการลงทุนได้มากขึ้น
การลงทุนทุกวันนี้อยู่ในระบบออนไลน์ที่เชื่อมต่อได้ทั่วโลก โลกออนไลน์เปิดทางให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนที่ต้องหาเรียนรู้จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวหรือเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมาก่อน
ยกตัวอย่าง YouTube มีนักลงทุนแนะนำแทบจะทุกอย่าง คนสามารถเลือกรับฟังแนวทางที่เหมาะกับตนเอง มีไลฟ์สไตล์คล้ายตนเองและนำมาปรับใช้ได้จริง อย่างไรก็ตามแม้ข่าวสารและโลกอินเทอร์เน็ตเข้ามาทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้นก็จริง ลงทุนเดือนละพันก็ได้ ซื้อวันนี้แล้ววันนี้รวย มันก็คงเป็นไปได้ แต่ว่าจะจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่เราจะได้แบบนั้น เพราะฉะนั้น ความรู้และข้อมูลจะทำให้เรามั่นใจว่าการลงทุนนั้นจะมีความมั่นคงจริงๆ
“อันดับแรก คือ ต้องมีทุนและมีความรู้ ความรู้กับการลงทุน คือ ของคู่กัน อันนี้สำคัญ ถ้าเรามีทุนแล้วไม่มีความรู้ ถ้าเราไปลงทุนผิดจังหวะหรือผิดตัว เงินเราก็สูญได้เหมือนกัน”
การเงินดีจริงๆ ต้องมองว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน คำว่า 'การเงินดี' คือ เราต้องมีปัจจัยสี่ที่เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเยอะจนเกินพอดี มีเงินฉุกเฉินเผื่อยามวิกฤติ มีความพร้อม ไม่ต้องเลิศหรู มีบ้านอยู่ มีรถที่เราใช้ไปไหนมาไหนสะดวกสบาย ไม่เดือดร้อน และที่สำคัญ คือ สุขภาพต้องแข็งแรง การกินอยู่การอะไรพวกนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ในตอนนี้หากคุณยังไม่รู้จักการลงทุน ก็ลองเริ่มต้นจากการนำเงินไปฝากประจำ เป็นการฝึกนิสัยตัวเอง ปีหนึ่งก็ 12 เดือน หรือ 2 ปี 24 เดือน เดือนละ 1,000 สองปี ก็ได้ 20,000 กว่าแล้ว
พี่หนูให้ข้อคิดว่า ถึงเราจะมีรายได้น้อยแต่จงอย่าดูถูกว่าเงินน้อย จริงๆ เดือนละ 1,000 ปีหรือสองปีก็เห็นเงินเป็นหมื่นแล้ว คนเรามักจะมองว่ามันน้อย ฉันไม่เก็บฉันจะใช้ก่อน ค่อยหาทีหลังอันนี้คือเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
“การลงทุนต้องใช้ความอดทน แบบอดทนมากๆ ต้องใช้ความเพียรพยายาม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเก็บเงิน เราต้องมั่นใจในตัวเองว่า 60-70% เราต้องเก็บให้ได้ในจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือน ห้ามน้อยกว่านี้ เวลาที่เห็นเงินเราเติบโต เราจะมีความสุข เราจะมีความภูมิใจในตัวเองว่า ฉันก็ทำได้นะ มันก็ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำได้ ขอเพียงแค่ว่าเรามีความตั้งใจที่จะทำจริงๆ”