“Digital Asset” หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจในคำว่า “เงินดิจิทัล” เป็นเรื่องใหม่และคำใหม่ๆ สำหรับคนทั่วไปในสังคมไทย แต่ในอนาคตอันใกล้ สิ่งเหล่านี้อาจจะอยู่ในชีวิตประจำวันในการใช้จ่าย การลงทุน เหมือนที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้จ่ายผ่านการสแกน QR Code กันได้ทั่วไป
อีกทั้งหลายประเทศต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงทางการเงินของประชาชน ซึ่งรัฐบาลไทยก็มีเป้าหมายไปถึงจุดนั้น
ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยแนวคิดที่จะนำพันธบัตรรัฐบาลมาทำ Tokenize หรือแปลงให้อยู่ในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Stable coin เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่สถาบันการเงินหรือผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น
ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายในการทดลองออก Stable coin อิงพันธบัตรรัฐบาล มูลค่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2568 พร้อมมีแนวคิดให้สามารถนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของไทยที่น่าจับตา
“พันธบัตรรัฐบาล ถือเป็นพันธบัตรที่ทุกคนให้ความเชื่อถืออย่างมาก ซึ่งแต่ละปีรัฐบาลมีการออกพันธบัตรใหม่จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในมือของสถาบันการเงิน ส่วนบุคคลธรรมดาส่วนมาก มักจะนำไปเก็บไว้เฉยๆ” พิชัย กล่าว และระบุว่า ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีแนวคิดนำพันธบัตรรัฐบาลเหล่านี้ ให้สามารถกระจายไปยังผู้ที่สนใจลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจมีการทำให้อยู่ในรูปแบบโทเคนเพื่อการลงทุน (Tokenize) ในลักษณะ Stable coin โดยใช้วิธีการทดลองจากจำนวนน้อยๆ ก่อน
โดยเบื้องต้นคาดเริ่มที่ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อทดลอง หรือเป็น “Sandbox” ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสการลงทุนได้มากขึ้น มากกว่าการเก็บออมไว้เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ มีแนวคิดในการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางสำหรับการซื้อขายในตลาดรอง เพื่อทำให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงให้มีสภาพคล่องการซื้อขายสูงขึ้นด้วย ซึ่งจะเริ่มใช้กับพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกใหม่ในอนาคต โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังจะเร่งกระบวนการดังกล่าวให้ออกมาเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถมีความชัดเจนและเห็นภายในปี 2568
โดยหลังจากนี้จะมีการทำแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มเดิมที่มีอยู่ให้มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสเห็นการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มดังกล่าวสู่ร้านค้า และสามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าได้ในเฟสถัดไป
อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการขอความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพเงินบาท เนื่องจากไม่มีเม็ดเงินใหม่ที่เกิดขึ้นในระบบ ส่วนหน่วยงานใดจะเป็นผู้กำกับดูแลสินทรัพย์ดังกล่าวนั้น ยังต้องพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney