กระทรวงการคลังมีกำหนดนัดหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันพรุ่งนี้ (3 ต.ค.) ในหัวข้อเรื่องอย่างที่รู้ๆ กัน คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยกับการดูแลค่าเงินบาท
2 หัวข้อสำคัญนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาล นักธุรกิจ และผู้ส่งออก ถกกันมาตลอดแต่ที่กำลังวิตกกังวลอยู่ขณะนี้คือ ถ้าแบงก์ชาติไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง เงินบาทอาจจะแข็งค่าหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯไปอยู่ที่ 31 หรือ 30 บาทต่อดอลลาร์ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นอีกผลสุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นต้องกระทบกับการส่งออกของประเทศไทยอย่างหนัก ซ้ำร้ายยังไม่สามารถช่วยเหลือรัฐบาลหรือประชาชนคนไทยในการลดวงเงินหนี้สาธารณะซึ่งเป็นหนี้ครัวเรือนของคนไทยส่วนใหญ่เสียมากลงได้ด้วย
จริงๆประเทศไทยจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับ 2 หน่วยงานสำคัญนี้ กระทรวงการคลัง คือ กระทรวงที่มีอำนาจในการกำกับดูแลแบงก์ชาติ แต่อยู่ไปอยู่มากระทรวงการคลังซึ่งมีรัฐบาลครอบอีกที ถูกจัดชั้นว่าเป็นนักการเมืองที่ยื่นมือเข้าไปวุ่นวายกับความเป็นอิสระของแบงก์ชาติไม่ได้ ด้วยคนของแบงก์ชาติเองบางคนก็เล่นการเมืองเสียเอง
ผลทำให้รัฐบาล หรือกระทรวงการคลังไปสั่งให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยไม่ได้ หรือถ้าไม่ทำจะออกคำสั่งปลดผู้ว่าการง่ายๆก็ไม่ได้
ทั้งๆที่กระทรวงการคลังมีบทบาทและหน้าที่ต้องกำกับดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบด้วยการจัดหารายได้ จัดเก็บภาษี บริหารหนี้สาธารณะ และทรัพย์สินทั้งหลายของรัฐ เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน
ส่วนแบงก์ชาติ แม้ความเป็นธนาคารกลางของประเทศจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระจากการเมือง แต่ความอิสระนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หรือคนในชาติเป็นสำคัญด้วย
คือ ถ้าจะยึดถือความเป็นอิสระจนทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง (ยกตัวอย่าง) อีกก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อแบงก์ชาติมีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ทั้งในประเทศ และสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ สถาบันการเงิน กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย และดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงงานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง
มิสไฟน์ ไม่ได้ตั้งป้อมเล่นงานแบงก์ชาติ หรือ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
แต่ถ้า ดร.เศรษฐพุฒิ และคณะ ตลอดจนถึงบรรดากองเชียร์ทั้งหลายจะหันมาแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศร่วมกันกับรัฐบาลในแบบที่ยึดถือประโยชน์ประเทศ และคนไทยเป็นหลัก แล้วลดอคติกับความรังเกียจรังงอนของตัวเองลง
ประเทศไทยเราก็น่าจะไปรอดได้ในอนาคตข้างหน้า หลังจากที่หยุดการพัฒนาประเทศจริงๆ จังๆ มาเป็นระยะเวลาพอสมควรจากการรัฐประหาร
รัฐบาลและคนไทยก็จะได้รู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วร่วมมือกันแก้ไขภายใต้กฎกติกาที่ยอมรับกันได้ โดยไม่ต้องเสียใครสักคนไป.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม