ปัจจุบันภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ มุ่งเน้นส่งเสริมการออมเงินและเพิ่มองค์ความรู้ในการวางแผนการเงินให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่มักพบเจอ คือ "แก่ก่อนรวย" หรือมีเงินไม่เพียงพอในวัยเกษียณ
หนึ่งในโครงการที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ และถูกพัฒนาขึ้นเพื่อจูงใจให้คนออมเงินมากขึ้นคือ “หวยเกษียณ” ซึ่งคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมนำเรื่องเสนอ ครม. เพื่อแก้กฎหมาย เปิดช่องให้ประชาชนอายุมากกว่า 60 ปี ซื้อได้ ด้วยเงื่อนไขการถือครอง 10 ปี คาดว่าจะเริ่มได้เร็วสุดในไตรมาส 1/68
จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กอช. อยู่ระหว่างเตรียมนำเรื่อง “หวยเกษียณ” เข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม หลังจากได้รับข้อเสนอจากประชาชน ให้มีการขยายช่วงอายุที่สามารถซื้อหวยเกษียณได้มากกว่า 60 ปี ซึ่งเบื้องต้นเสนอหลักการให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 61-70 ปี สามารถเข้ามาซื้อหวยเกษียณได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี และไม่ได้รับเงินสมทบจากภาครัฐ
ซึ่งในทางกระบวนการแล้ว มองว่าเป็นเรื่องของการแก้กฎหมาย ดังนั้น จะต้องรอการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จก่อน จึงนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. จากนั้นจึงนำเสนอต่อในชั้นกฤษฎีกา ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าหากไม่มีข้อติดขัด จะสามารถเริ่มได้อย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 1/68
สำหรับ “หวยเกษียณ” มีการจำกัดการซื้อต่อคนได้สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน โดยจำนวนเงินที่ซื้อสลาก จะถูกเก็บสะสมไว้ และจะได้รับเงินที่ซื้อสลากคืนทั้งหมดเมื่ออายุที่กำหนด
โดย “หวยเกษียณ” มีเงินรางวัลต่องวดกว่า 15 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลที่ 1 วงเงิน 1 ล้านบาท จำนวน 5 รางวัล และรางวัลที่ 2 วงเงิน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล ซึ่งเงินรางวัลจากหวยเกษียณสามารถถอนออกมาใช้จ่ายได้ทันที
เลขาธิการ กอช. ชี้ให้เห็นว่า “หวยเกษียณ” ถือเป็นช่องทางในการออมเงินทางเลือกของประชาชน และเป็นภาคสมัครใจ (ไม่บังคับ) ซึ่งใช้แรงจูงใจจากการถูกรางวัลมากระตุ้นการอยากเก็บออมเงินของประชาชน โดยมีข้อดีคือ หากไม่ถูกรางวัล เงินต้นก็จะไม่หาย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าได้รับเสียงตอบรับดี และมีความต้องการซื้อสูง ทั้งนี้ เงินที่ประชาชนใช้ซื้อหวยเกษียณ จะถูกนำไปลงทุนต่อโดย กอช. ซึ่งจะเน้นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อรักษาเงินต้น
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เดินหน้าส่งเสริมความรู้การวางแผนการเงินต่อเนื่อง หวังให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดี โดยคาดว่าองค์ความรู้ทางการเงินทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้าถึงสมาชิก กอช. และ กยศ. รวมกว่า 2.5 ล้านคนทั่วประเทศต่อปี
ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ปัญหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญ เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และการเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ทำให้คนไทยจำนวนมากประสบปัญหา "แก่ก่อนรวย" หรือมีเงินไม่เพียงพอใช้ในวัยเกษียณ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเน้นการส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน โดยได้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น SET e-Learning และทำงานร่วมกับพันธมิตรในการขยายความรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ
ล่าสุด ได้ลงนามต่ออายุ MOU กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นปีที่ 7 เพื่อขยายการให้ความรู้ทางการเงินแก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน แรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ และประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ทางการเงิน สามารถบริหารจัดการหนี้ วางแผนการออม และมีเงินเพียงพอในวัยเกษียณ
ด้าน จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการ กอช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนการส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน และการลงทุนเพื่อสร้างหลักประกันบำนาญขั้นพื้นฐาน และยกระดับความรู้ทางการเงินให้กับคนไทย สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการสร้างฐานการออมของ กอช. ซึ่งมีสมาชิกกว่า 2.6 ล้านคน ขณะที่ความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2561 ได้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มความเข้าใจการวางแผนการเงินเพื่อเกษียณ และล่าสุดได้ต่ออายุ MOU เพื่อพัฒนาความร่วมมือในด้านนี้ต่อไป
ส่วน ชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า กองทุนมุ่งส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้เยาวชนไทย เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและสร้างความรับผิดชอบในการชำระเงินคืน โดย กยศ. ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มากว่า 7 ปี โดยมีหลักสูตร SET e-Learning ที่ประสบความสำเร็จ จากมีผู้เข้าเรียนกว่า 10 ล้านครั้ง รวม 7 หมื่นคน เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการการเงินและสร้างโอกาสในอนาคต
อ่านข่าวการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้