นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอการแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อย และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Sevice Account : PSA) โดยวงเงินที่ธนาคารออมสินจะสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปปล่อยสินเชื่อต่อให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.5% ต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี วงเงินต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาท รวมทุกสถาบันการเงิน โดยผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.68
“ธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อรองรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ถือเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐและสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม โดยคาดว่าการดำเนินโครงการของธนาคารออมสินจะสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ได้ประมาณ 0.27%”
นายพรชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 แห่งที่มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ลงกึ่งหนึ่งจาก 0.25% ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปีของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนต่อไปอีก 1 ปี ในรอบการนำส่งเงินในปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 นับตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่