ทริส หั่นเครดิต หุ้นกู้ ITD เหลือ BB แนวโน้ม Negative สะท้อนความกังวลสภาพคล่องอ่อนแอ

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทริส หั่นเครดิต หุ้นกู้ ITD เหลือ BB แนวโน้ม Negative สะท้อนความกังวลสภาพคล่องอ่อนแอ

Date Time: 15 ธ.ค. 2566 16:07 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Latest


บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทริสเรทติ้ง ประกาศ ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) เป็นระดับ “BB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” และลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มี หลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทเป็นระดับ “BB” จากเดิมที่ระดับ “BBB” ส่วนแนวโน้มอันดับ เครดิตนั้นยังคง “Negative” หรือ “ลบ”

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ให้ต่ำกว่าอันดับ เครดิตองค์กรของบริษัท 1 ขั้นเพื่อสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้ที่มีลําดับในการได้รับ ชําระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทที่ระดับ 55.8% ซึ่งสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กําหนดไว้ที่ 50% ตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง


การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจากการที่บริษัทมีผลการดําเนินงานที่ค่อนข้างอ่อนแอและมีภาระหนี้ที่สูง นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออํานวยในตลาดตราสารหนี้ยังทําให้บริษัทหลายๆ แห่งซึ่ง รวมถึงบริษัทเองออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมได้ยากขึ้น ส่วนแผนการขายสินทรัพย์ที่ ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทออกไป เช่น โรงงานปูนซีเมนต์และหุ้นที่ถือในเหมืองแร่โปแตชนั้นอยู่ ในระหว่างดําเนินการ อย่างไรก็ตาม กําหนดเวลาการทําธุรกรรมดังกล่าวก็ยังคงไม่มีความแน่นอน

ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” บ่งบอกว่าอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงต่อไปได้อีกในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าหากสถานะ สภาพคล่องของบริษัทไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบันได้

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นําของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (Engineering and Construction - E&C) ภายในประเทศตลอดจนมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จํานวนมากและหลากหลายของบริษัท ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระ หนี้สินทางการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงจากการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ โครงการที่ยังไม่ สร้างรายได้และความต้องการเงินทุนหมุนเวียนจํานวนมาก รวมถึงความอ่อนไหวต่อการแข่งขัน ที่รุนแรงของบริษัทและลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ผลการดําเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยบริษัทมีรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่จํานวน 5.26 หมื่นล้านบาท หรือเทียบเท่าระดับ 76% ของประมาณการของทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ กําไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย (EBITDA) ยังเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6 พันล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ในขณะที่อัตรากําไรขั้นต้นและอัตรา EBITDA Margin ของบริษัทก็ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 8.9% และ 11.5% จากที่ระดับเพียง 4.6% และ 8.0% ในปี 2565 ตามลําดับ

อย่างไรก็ตาม ภาระดอกเบี้ยของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2.2 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเกิดจากภาระหนี้ที่เพิ่ม สูงขึ้นจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่ปรับปรุง แล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 หมื่นล้านบาทซึ่งเกินกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งที่ระดับ 4.3 หมื่นล้านบาท โดย ณ เดือนกันยายน 2566 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ ที่ระดับ 78.9% ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 79.7% ในปี 2565 อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ 2.75 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดําเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 จากระดับ 5.1% ในปี 2565


แม้ว่าผลการดําเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังคงมีข้อจํากัดภายใต้ข้อกําหนดทางการเงินเป็นอย่างมาก ซึ่งตามข้อกําหนดทางการเงินที่สําคัญ ของหุ้นกู้และเงินกู้ยืมจากธนาคารนั้นระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งบริษัทมี อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 2.89 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 2.97 เท่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565

นอกจากนี้ บริษัทยังมีสภาพคล่องที่ตึงตัวอีกด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2566 แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจํานวน 4.6 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจํานวน 8.2 พันล้านบาท และเงินทุนจากการดําเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้าน บาทต่อปี ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจํานวนทั้งสิ้น 2.64 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันจํานวน 2.0 พันล้านบาท เงินกู้จากธนาคารจํานวน 2.32 หมื่นล้านบาท และหนี้สินจากสัญญาเช่าและหนี้สินทางการเงิน อื่นๆ อีกจํานวน 1.2 พันล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประจําปีนั้นคาดว่าจะอยู่ที่จํานวนทั้งสิ้นประมาณ 3.0 พันล้านบาท เมื่อพิจารณาจากแหล่งสภาพคล่องของบริษัทแล้ว

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจําเป็นจะต้องต่ออายุเงินกู้ยืมที่ใกล้หมดอายุส่วนใหญ่ออกไป (Refinance) เพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องเอาไว้ให้เพียงพอและเพื่อใช้เป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดําเนินการ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจาก ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะเผชิญกับความยากลําบากในการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อนําไปใช้ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม สภาวะตลาดตราสารหนี้ที่ไม่เอื้ออํานวยแล้ว

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้ที่มีลําดับในการได้รับชําระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 55.8% จาก 49.8% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่ระดับ 50% แล้ว ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบ อย่างมีนัยสําคัญในเรื่องลําดับของสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท ดังนั้น อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทจึงต่ำกว่าอันดับ เครดิตองค์กรของบริษัท 1 ขั้นเพื่อสะท้อนถึงการด้อยสิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท

ติดตามข้อมูลหุ้นกู้ และ เงินฝากธนาคาร กับ ThairathMoney ได้ที่ 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ