ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อไทยค่อนข้างจำกัด โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ต.ค. ติดลบ -0.31% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 26 เดือน และต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.0% จากหมวดพลังงานและอาหารสด
โดยราคาพลังงานกลับมาหดตัว -1.55% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากค่ากระแสไฟฟ้า และราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับลดลงตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ สำหรับราคาอาหารสดหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -2.45% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากราคาเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำที่ลดลง และราคาผักสดจากผลของฐานปีก่อนที่เร่งสูงขึ้น ขณะที่ราคากลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งขยายตัวเร่งขึ้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.66% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงเดือนก่อนที่ 0.63% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยราคาสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ และหมวดตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล เป็นต้น ขณะที่ราคาเครื่องประกอบอาหารยังหดตัวต่อเนื่องตามการลดลงของราคาน้ำมันพืช และเครื่องปรุงรส ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 10 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1.60% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.41%
ดังนั้น Krungthai COMPASS จึงประเมินว่าสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อไทยค่อนข้างจำกัด สถานการณ์สู้รบของอิสราเอลได้เพิ่มแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกให้เร่งตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
โดยเบื้องต้นประเมินว่าการสู้รบจะอยู่ในพื้นที่จำกัดบริเวณฉนวนกาซา หรือแม้ว่าจะขยายวงกว้างไปยัง West Bank เลบานอน และซีเรีย แต่คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในระดับสูงกว่าปกติเพียง 5-10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น ซึ่งจะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในปีนี้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.05pp และกระทบอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 ประมาณ 0.1-0.2pp เท่านั้น
นอกจากนี้ ภาครัฐของไทยยังมีนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ถึงสิ้นปีนี้ และได้ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินลง 0.8-2.5 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่ 7 พ.ย. 2566 ถึง 31 ม.ค. 2567 ทำให้ผลกระทบของสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสต่ออัตราเงินเฟ้อภายในประเทศค่อนข้างจำกัด ซึ่งคาดว่าจะไม่เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. ในระยะข้างหน้า ซึ่ง Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในการประชุมวันที่ 29 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้