กนง.เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หวั่นเงินเฟ้อดื้อไม่ลง-นโยบายรัฐบาลใหม่กระทบ

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

กนง.เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หวั่นเงินเฟ้อดื้อไม่ลง-นโยบายรัฐบาลใหม่กระทบ

Date Time: 1 มิ.ย. 2566 07:01 น.

Summary

  • กนง.เอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% กังวลเงินเฟ้ออนาคตพุ่ง เงินเฟ้อพื้นฐานหนืดลงยาก ยอมรับดอกเบี้ยขึ้นเริ่มกระทบลูกหนี้ จับตาส่งผ่านต้นทุนทำของแพง-นโยบายรัฐบาลใหม่ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ

Latest

ปลดล็อกเรื่องภาษี!

กนง.เอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% กังวลเงินเฟ้ออนาคตพุ่ง เงินเฟ้อพื้นฐานหนืดลงยาก ยอมรับดอกเบี้ยขึ้นเริ่มกระทบลูกหนี้ จับตาส่งผ่านต้นทุนทำของแพง-นโยบายรัฐบาลใหม่ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25 % จาก 1.75 % เป็น 2.00% ต่อปี โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ ธปท.พบว่า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะกลับขึ้นมาสูงขึ้นกว่าที่ ธปท.คาดไว้ได้ในอนาคต

คงประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ที่ 3.6%

ทั้งนี้ จากการประมาณการล่าสุด เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.6 % ในปี 2566 และขยายตัว 3.8% ในปี 2567 จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ธปท.ได้ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้เป็น 29 ล้านคน ซึ่งส่งผลบวกต่อการจ้างงานและรายได้ แรงงาน และเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน ด้านการส่งออกยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก แต่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นในระยะต่อไป สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่แม้จะชะลอลง แต่ยังมีทิศทางขยายตัวในครึ่งปีหลัง

โดย ธปท.ได้ปรับเพิ่มประมาณการส่งออกของไทยทั้งปีนี้จากติดลบ 0.7% ขึ้นมาเป็นติดลบ 0.1% รวมทั้งเพิ่มการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนในปีนี้ขึ้นไปที่ 4.4% แต่ได้ปรับลดประมาณการการผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการบริโภคและการลงทุนภาครัฐลงจากครั้งก่อน ขณะที่ ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้ หากเศรษฐกิจโลกชะลอลงน้อยกว่าที่คาด และการท่องเที่ยวดีกว่าที่คาดไว้

ห่วงเงินเฟ้อพื้นฐานดื้อแพ่งไม่ยอมลง

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเสถียรภาพราคา แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และ ธปท.ได้ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ลงจาก 2.9% ในครั้งที่แล้วเหลือ 2.5 % ขณะที่คงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 2.4 % ในปี 2567 เท่ากับการประมาณการครั้งก่อน จากแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันที่ทยอยคลี่คลาย แต่ที่ ธปท.ยังมีความกังวลคือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และในเดือนล่าสุดยังคงเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.6% และยังมีแรงหนืดมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อยังคงค้างอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ ธปท.คาดไว้ โดยในการประมาณการล่าสุด ธปท.คาดว่า เงินเฟ้อพื้นฐานทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 2.0 % และจะทรงตัวอยู่ที่ 2% ต่อเนื่องในปี 2567 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต

นอกจากนั้น ความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป ยังมีความเสี่ยงสูงจากเศรษฐกิจที่อาจจะขยายตัวดีกว่าคาด และเงินเฟ้อพื้นฐานที่อยู่ในระดับสูงนานต่อเนื่อง อาจกระทบต่อพฤติกรรมการตั้งราคา และการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งยังต้องติดตามนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะต่อไปที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งได้ ทำให้ กนง. เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังเหมาะสม และเห็นควรให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

ดอกเบี้ยขาขึ้นยังไม่ยุติ แต่ชะลอได้

นายปิติ กล่าวต่อว่า ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังเป็นทิศทางที่ กนง.ดำเนินการ โดยในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้กลับมาเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจ การติดตามภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในระยะต่อไป ซึ่ง กนง.พร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้

ทั้งนี้ ยอมรับว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลกระทบต่อภาระการผ่อนส่งของลูกหนี้ทั้งรายใหญ่ และรายย่อย โดยจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) กระทบต่อลูกหนี้ธุรกิจประมาณ 60% ในขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี ( MLR) เริ่มกระทบต่อลูกหนี้รายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยทุกฝ่ายปรับตัวได้ในระดับหนึ่ง และ กนง.มองว่าการเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องไป

จับตานโยบายรัฐบาลใหม่ต่อเศรษฐกิจ

ด้านนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน เม.ย.66 ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 6.7% และส่งผลให้การใช้จ่ายขยายตัวตามไปด้วย โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น 7.6% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับขึ้นมาต่อเนื่อง มากว่า 1 ปี และขึ้นมาอยู่ในช่วงเดียวกับก่อนโควิด-19 อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำ เดือน เม.ย.ปรับตัวลดลง 6.6% จากระยะเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง 8.8% และเครื่องชี้การลงทุนเอกชนที่ปรับลดลง 0.6% จากเดือนก่อนหน้า

ขณะที่จากการสำรวจผู้ประกอบการ พบว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดือน พ.ค.2566 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงและการเข้าสู่ช่วง Low Season ของภาคท่องเที่ยว โดยความเสี่ยงในระยะต่อไป จะต้องติดตาม คือ 1.เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง ซึ่งกระทบต่อการส่งออก 2.การส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และ 3.ความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาล และติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ