น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากความสำเร็จของพร้อมเพย์ (PromptPay) ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการถึง 69 ล้านบัญชี มูลค่าที่โอน 113,000 ล้านบาทต่อวัน และส่วนใหญ่เป็นการโอนต่ำกว่า 1,000 บาท แสดงให้เห็นว่า คนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่มีจุดบริการสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการมากถึง 7 ล้านแห่ง และจากการสำรวจขององค์กรระดับโลกพบว่า คนไทยใช้โมบายแบงกิ้งสูงสุดของโลก ซึ่งช่วงต่อไป ธปท.ได้กำหนดแผนกลยุทธ์การพัฒนาระบบชำระเงินในระยะ 3 ปี (พ.ศ.2565-2567) เพื่อให้การชำระเงินดิจิทัลเป็นทางเลือกหลักของผู้ใช้บริการและก้าวสู่สังคมที่ใช้เงินสดน้อยลง
นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. กล่าวว่า เพื่อเป็นการต่อยอดจากพร้อมเพย์ ธปท.เตรียมพัฒนาระบบการชำระเงินภาคธุรกิจ หรือพร้อมบิส (PromptBiz) เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาการโอนเงินให้แก่ภาคธุรกิจ ช่วยลดต้นทุน และลดข้อจำกัดต่างๆ โดยระบบนี้จะสามารถให้ข้อมูลอื่นๆ ได้นอกเหนือจากข้อมูลการชำระเงิน ทำให้ลดการใช้เอกสารทางการค้า เอกสารการชำระเงิน รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับระบบเสียภาษีได้ด้วย โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกในเดือน เม.ย.2566
“ธปท.ยังเตรียมพัฒนาระบบโอนเงินระหว่างประเทศผ่านพร้อมเพย์ โดยจะให้บริการเพิ่มเติมกับมาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย จากปัจจุบันทำกับเพย์ นาวของสิงคโปร์ ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากการโอนเงินระหว่างประเทศ รวมถึงเพิ่มการเชื่อมโยงการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดในการชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านร้านค้าทั้งในประเทศไทย และร้านค้าต่างประเทศ โดยมีแผนทำเพิ่มเติมกับอินเดีย และฮ่องกง จากที่ทำอยู่ 6 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น”.