นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และแม้ว่าระบบธนาคารพาณิชย์จะยังมีความแข็งแกร่ง ทั้งด้านเงินกองทุน สภาพคล่อง และเงินสำรองอยู่ในระดับสูง และผลจากมาตรการช่วยเหลือในปัจจุบัน ทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพยังไม่เร่งตัวขึ้นเร็ว แต่เพื่อรองรับความไม่แน่นอนและดูแลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ธปท.เห็นความจำเป็นของการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสถาบันการเงินเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่อาจทยอยเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป
โดยได้ออกมาตรการเพิ่มเติม ส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถร่วมลงทุนในกิจการร่วมทุน จัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) ของตนเองขึ้นมาใหม่ได้ เพื่อรับซื้อและบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) และสินทรัพย์รอการขาย (NPA) ของธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ ธปท.จะผ่อนปรนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบางส่วน มีกำหนดเวลาให้ยื่นขอจัดตั้งกิจการร่วมทุนดังกล่าวได้ภายใน 3 ปีจากนี้ หรือภายในปี 2567 ดำเนินกิจการต่อเนื่องได้ 15 ปี
ด้าน น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 กล่าวว่า การจัดตั้งเอเอ็มซี ธปท.ได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ ถือหุ้นได้สูงสุดรายละไม่เกิน 49% และให้มีผู้อื่นถือหุ้น 2% เพื่อให้ไม่มีฝ่ายใดมีอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อและอื่นๆ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการจัดตั้ง เพราะเห็นว่าหนี้เสียและสินทรัพย์รอการขายในขณะนี้เกิดจากวิกฤติโควิด และสามารถที่จะปรับดีขึ้นได้ หากปรับโครงสร้างหนี้ต่อเนื่อง และไม่ถูกเร่งรัดขายทิ้งไปจนราคาตก หากธนาคารเร่งตัดขายทันที อาจจะทำให้เสียโอกาสได้ แต่หากมีเอเอ็มซี จะสามารถได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์เหล่านี้เมื่อวิกฤติผ่านไปได้.