วิจัยธนาคารกรุงศรี คาดไทยผ่านจุดพีกการระบาดโควิด มองต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 64 ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงาน Thailand after COVID-19: Business Opportunities and Transformation ที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้าธุรกิจของกรุงศรีโดยเฉพาะ ว่า เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการที่คนเริ่มเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น เริ่มมีการปลดล็อกในบางประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อน
ในส่วนของประเทศไทยเราผ่านจุดสูงสุดของการระบาดมาแล้ว และการฉีดวัคซีนมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันสามารถฉีดวัคซีนได้เฉลี่ยวันละ 400,000 กว่าคน วิจัยกรุงศรีเชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตขึ้น 0.6% โดยมาจาก 3 สาเหตุ คือ ภาคการส่งออกของประเทศไทยยังดี อีกทั้งมีมาตรการเยียวยาออกมาเรื่อยๆ และคนเริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากเริ่มคลายล็อก
ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นปีอัตราการติดเชื้อจะลดลงเหลือโดยประมาณ 2,500 คนต่อวัน ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีหน้ามีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นแต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะกลับมาเหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน ทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI มองว่า อุตสาหกรรมในกลุ่ม Bio-Circular-Green หรือ BCG ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังภาวะวิกฤติ เนื่องจากประเทศไทยมีทรัพยากรด้านชีวภาพมากมายจากอุตสาหกรรมหลักด้านการเกษตรและอาหารที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นกระแสความตื่นตัวเรื่องการทำธุรกิจด้วยความใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความสนใจจากหลายองค์กรทำให้มีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องสูง
ทั้งนี้ จึงคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมด้าน BCG จะคิดเป็น 25% ของ GDP ทั้งนี้ ประเทศไทยมีปัจจัยที่เหมาะกับการพัฒนา ทั้งในด้าน Biodiversity ซึ่งมีความพร้อมอยู่ในอันดับ 15 ของโลก และอุตสาหกรรมอาหารซึ่งมีการส่งออกเป็นอันดับ 13 ของโลก รวมทั้งยังมี Biomass ที่เหลือจากการเกษตรถึง 40 ตันต่อปี
โดยสามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมายด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา และประเทศไทยยังมีความพร้อมในด้านฐานที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศอย่างเต็มที่ ด้วยความพร้อมเหล่านี้ทำให้มีโอกาสการพัฒนาทางธุรกิจในหลายด้าน
ทั้งธุรกิจ Smart farming หรือ Plant factory ที่ในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่สมุนไพรหรือวัตถุดิบที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น น้ำตาล FOS รวมไปถึง Novel Food อาทิ โปรตีนจากพืชและโปรตีนจากแมลง ในส่วนของอุตสาหกรรมกลุ่มไบโอพลาสติก ก็มีศักยภาพในการเติบโตและประเทศไทยยังถือเป็นแหล่งผลิตของภูมิภาคที่มีการลงทุนขนาดใหญ่และมีการขยายตัวอย่างมาก นอกจากนั้นอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลก็มีคุณสมบัติพิเศษและมีโอกาสอีกมากในการพัฒนาเช่นกัน
ทางด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้านั้น ไทยนับเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 11 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน โดยภายในปี 2030 คาดการณ์ว่า 30% ของกำลังการผลิตจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการจะพัฒนาให้ได้ตามเป้าหมายจะต้องมีการพัฒนาระบบนิเวศในหลายด้าน โดยเฉพาะการมีสถานีชาร์จที่มีศักยภาพรองรับ และประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัวในทุกภาคส่วน เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังคงเป็นอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของไทย