นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมศุลกากรได้ขยายเวลาการยกเว้นการจัดเก็บภาษีอากร สำหรับเรือสำราญและเรือยอชต์ที่นำเข้ามากับเจ้าของเป็นการชั่วคราวและนำกลับไป จากเดิม 6 เดือน เป็น 2 ปี 6 เดือน นับจากวันที่นำเข้า โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด และต้องรายงานต่อกรมศุลกากรทุก 6 เดือน เพื่อป้องกัน การนำเรือยอชต์เข้ามาขายในประเทศไทยโดยไม่เสียภาษี เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ และเสริมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีน่าของอาเซียน “การขยายระยะเวลาการยกเว้นการจัดเก็บภาษีอากรนั้น เป็นไปตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่ต้องการดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้าประเทศ เพราะเมื่อมาเที่ยวแล้วก็จะเกิดค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายจอดเรือ ค่าน้ำมัน ถือเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ โดยนับตั้งแต่ 1 ต.ค.63-8 มี.ค.64 มีเรือสำราญและเรือยอชต์เข้ามาในประเทศไทยแล้ว 33 ลำ และเชื่อว่าก่อนเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้มีการนำเรือสำราญและเรือยอชต์เข้ามาท่องเที่ยวในไทยอยู่แล้วจำนวนมาก แต่ไม่สามารถบอกจำนวนตัวเลขที่ชัดเจนได้ขอเวลารวบรวมข้อมูลอีกครั้ง”
นายชัยยุทธ กล่าวต่อว่า กรมศุลกากรได้ตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญพิกัดอัตราศุลกากรประจำสำนักงาน เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษา กรณีเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสงสัยหรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร สำหรับสินค้าที่กำลังผ่านพิธีการศุลกากร เพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจปล่อย และลดภาระผู้ประกอบการ “การนำเข้าสินค้ามีอัตราภาษีหลายพิกัด หลายรายการ แต่ละกลุ่มก็มีอัตราแตกต่างกัน โดยรายการสินค้าที่มีความชัดเจน ไม่ต้องตีความมีเพียง 5% ส่วนอีก 95% มีข้อโต้แย้ง ต้องตีความ บางครั้งการตีความของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจปล่อยก็ไม่เหมือนกัน ทำให้ใช้เวลาในการดำเนินการ และหากผู้นำเข้าต้องการนำสินค้าออกไปก่อน ก็ต้องวางหลักประกัน ซึ่งการวางหลักประกันก็แตกต่างกันอีก ดังนั้นจึงต้องตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญมาช่วยพิจารณา เพื่อความรวดเร็ว และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ลดความขัดแย้งกับผู้ประกอบการด้วย.