ตลาดกระทิงมาถึงเวลาต้องลงทุน บลจ.กสิกรไทย ชวนช็อปหุ้นนอกด้วยกองทุน FIF

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ตลาดกระทิงมาถึงเวลาต้องลงทุน บลจ.กสิกรไทย ชวนช็อปหุ้นนอกด้วยกองทุน FIF

Date Time: 22 ก.พ. 2564 16:20 น.

Video

ล้วงลึกอาณาจักร “PCE” สู่บริษัทมหาชน ปาล์มครบวงจร | On The Rise

Summary

  • บลจ.กสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น ชวนลงทุนหุ้นต่างประเทศด้วยกองทุน FIF มองปลายปี SET แตะ 1,600 จุด พร้อมตั้งเป้าปี 64 เติบโต 7% ยืนหนึ่งในตลาดกองทุนรวม

Latest


บลจ.กสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น ชวนลงทุนหุ้นต่างประเทศด้วยกองทุน FIF มองปลายปี SET แตะ 1,600 จุด พร้อมตั้งเป้าปี 64 เติบโต 7% ยืนหนึ่งในตลาดกองทุนรวม

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 64 วศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เรามองว่าธีม ตลาดกระทิงมา ถึงเวลาต้องลงทุน มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะหลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้สำเร็จและแจกจ่ายใช้ในหลายประเทศมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น

แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องไปในปีนี้ โดยให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่

1. ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น

2. ธีม 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ และจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ทั้งนี้ สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว จากความสำเร็จในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ New Normal ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน ความบันเทิง และการทำงาน ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชีย รวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้

"คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ"

แนะกองทุนก้าวข้ามความผันผวนระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย อยากจะแนะนำให้ผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น โดยใช้หลักกระจายการลงทุน พร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในระยะยาวผ่าน 6 กองทุนแนะนำ ประกอบด้วย

- กองทุนต่างประเทศ หรือ FIF ได้แก่
กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE)
กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA)
กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA)

- กองทุนผสม
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม (K-GINCOME)

- กองทุนหุ้นไทย
กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR)

- กองทุนตราสารหนี้
กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS)

สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนต่างประเทศ 70% กองทุนหุ้นไทย 25% และกองทุนตราสารหนี้ 5% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ 65% กองทุนต่างประเทศ 25% และกองทุนหุ้นไทย 10% ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน จะลดความผันผวน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุนได้

ยังยึดที่ 1 ในตลาดกองทุนรวม

วศิน กล่าวอีกว่า ในปี 64 นี้บริษัทตั้งเป้าโตประมาณ 7% โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม ด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิมผ่านการแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด รวมถึงขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการเปิดเสนอขายกองทุนตามไลฟ์สไตล์และเทรนด์โลก รวมถึงพัฒนาช่องทางการลงทุนดิจิทัล โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น และ นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ หรือ AUM ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 74%, 14% และ 12% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ ธ.ค. 63)

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระแส Digital Disruption ในอุตสาหกรรมกองทุนถือว่ามาช้ากว่าธุรกิจการเงินอื่นๆ โดย บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital-based Users) มีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท โดยในปี 64 เราได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอีก 20% 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์