ธนาคารกรุงศรี เผยกำไรสุทธิของปี 2563 แตะ 23,040 ล้านบาท พร้อมเงินสำรองที่แข็งแกร่งหลังมีโควิดระบาดระลอกใหม่
เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 64 นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีก่อนที่จะกลับไปสู่สภาวะก่อนเกิดการระบาด
นอกจากนี้วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.5% ในปี 2564 จากฐานที่ต่ำซึ่งหดตัวลง 6.4% ในปี 2563 อีกทั้งคาดว่าการฟื้นตัวจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม
โดยในปี 2564 ในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งทางการเงิน กรุงศรีจะยังคงดำเนินงานตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบระมัดระวัง และดำเนินมาตรการความช่วยเหลือเชิงรุก เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมและกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.83 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.83 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.61 ล้านล้านบาท
ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 276.26 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.92% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.85%
โดยผลประกอบการ และฐานะการเงินที่สำคัญของปี 63 มีดังนี้
- กำไรสุทธิ จำนวน 23,040 ล้านบาท ลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติในปี 2562 โดยเป็นผลมาจากการตั้งเงินสำรองเพิ่มขึ้น
- เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 0.8% หรือจำนวน 15,058 ล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 โดยสินเชื่อเพื่อรายย่อย และสินเชื่อเพื่อลูกค้า SME มีการเติบโต 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ ในขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ปรับลดลง 1.5% ส่วนใหญ่เกิดจากการชำระคืนเงินกู้ของบรรษัทไทย
- เงินรับฝาก: มีจำนวนทั้งสิ้น 1,834,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% หรือจำนวน 267,620 ล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากออมทรัพย์
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM : อยู่ที่ 3.47% ปรับลดลงจาก 3.60% ในปี 62 โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อตามมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลง 3,877 ล้านบาท หรือ 10.6% เมื่อเทียบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินงานตามปกติในปี 2562 ซึ่งเป็นผลจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 42.52% ปรับดีขึ้นจาก 45.1% ซึ่งเป็นอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานตามปกติในปี 2562 สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
- อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 2.00% เทียบกับ 1.98% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
- อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แข็งแกร่งด้วยอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 175.12% เทียบกับ 163.82% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562
- อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดดเด่นอยู่ที่ระดับ 17.92% เทียบกับ 16.56% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562