ทรีนีตี้ มองไตรมาส 4 กำไรหุ้นแบงก์อ่อนตัวลง หลังธนาคารตั้งสำรองหนี้สูง

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ทรีนีตี้ มองไตรมาส 4 กำไรหุ้นแบงก์อ่อนตัวลง หลังธนาคารตั้งสำรองหนี้สูง

Date Time: 22 ต.ค. 2563 16:38 น.

Video

คนไทยจ่ายภาษีน้อย มนุษย์เงินเดือนรับจบ ปัญหาอยู่ที่ระบบหรือคนกันแน่ ? | Money Issue

Summary

  • บล.ทรีนีตี้ คาดกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์งวดไตรมาส 4 มีแนวโน้มหดตัวลงต่อ หลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ภาครัฐ ส่งผลทั้งระบบต้องตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

Latest


บล.ทรีนีตี้ คาดกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์งวดไตรมาส 4 มีแนวโน้มหดตัวลงต่อ หลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ภาครัฐ ส่งผลทั้งระบบต้องตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในงวดไตรมาส 4 ปี 2563 จะอ่อนตัวลงอีกจากไตรมาส 3 ที่ได้ทยอยประกาศกันออกมาเกือบทั้งหมดแล้ว

ทั้งนี้ เพราะหุ้นธนาคารส่วนใหญ่จะได้รับผลจากค่าใช้จ่าย และการตั้งสำรองหนี้ที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้มีความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้สูงขึ้น ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 1 ของภาครัฐ ในส่วนพักชำระเงินต้นระยะเวลา 6 เดือนครบกำหนด

ขณะที่ลูกหนี้บางส่วนที่พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งได้พ้นระยะเวลาการพักชำระไปแล้วและได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ต่อก็มีความเสี่ยงในเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไหลย้อนกลับมาได้

อย่างไรก็ตาม จากรายงานผลประกอบการงวด 9 เดือน ธนาคารพาณิชย์ 6 แห่ง ที่ทางทรีนีตี้ทำการศึกษา ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารทหารไทย (TMB) และทิสโก้ (TISCO)

ทั้งนี้ พบว่า มีการตั้งสำรองหนี้ (ECL) งวด 9 เดือน อยู่ที่ 154,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 63% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแต่ละธนาคาร ได้มีการปรับแบบจำลองการตั้งสำรองหนี้เพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจในอนาคต และมีการตั้งสำรองส่วนเกินเพิ่มเติม เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต ส่งผลให้กำไรกลุ่มฯ งวด 9 เดือน อยู่ที่ 79,129 ล้านบาท ลดลง 37% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

"หากดูตัวเลข NPL ของ 6 ธนาคาร พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะยังได้รับผลจากการที่ลูกหนี้บางส่วนในปัจจุบันยังอยู่ในมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 1 จึงยังสามารถคุม NPL ได้แต่อนาคตก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงเมื่อมาตรการสิ้นสุดลง"

สำหรับคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร เรายังคงให้น้ำหนักเท่ากับตลาด โดยแนะนำหุ้นเด่นในกลุ่ม ได้แก่ TISCO ราคาเป้าหมายที่ 89 บาท ขณะที่ยังแนะนำซื้อสำหรับธนาคารขนาดใหญ่เช่นกัน อาทิ BBL ให้ราคาเป้าหมายที่ 119 บาท SCB ให้ราคาเป้าหมายที่ 83 บาท และ KBANK ให้ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์